วันอังคารที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2554

ข้าวคลุกกะปิ ( Shrimp paste fried rice and assortment)


วันนี้ขอแจกสูตรเป็นภาษาไทยนะคะ เพราะขั้นตอนค่อนข้างยุ่งยากมากค่ะ

ส่วนผสมและเครื่องปรุง (สำหรับ 4 ท่าน)
ข้าวสวย 4 ถ้วย
กะปิดี 2 ช้อนโต๊ะ
ไก่หั่นเป็นชิ้นเล็ก หนาประมาณครึ่งนิ้ว 250 กรัม
น้ำตาลปึก 2 ก้อน (ก้อนกลมขนาดเสันผ่าศก. 5 ซม.)
ไข่ไก่ 2 ฟอง
กุ้งแห้งทอด
หอมแดงซอย
ถั่วฝักยาว
พริกขี้หนูซอย
แอปเปิ้ลเขียวซอย
แตงกวาหั่นเป็นแว่นๆ
มะนาวสด
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

ขั้นตอนการทำไก่หวาน
  1. ตั้งกะทะด้วยไฟปานกลาง เติมน้ำสะอาดประมาณ 2 ถ้วยและต้มจนสุก จากนั้นนำไก่ที่หั่นแล้วลงไปต้ม
  2. พอไก่เริ่มสุก เติมซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว ลงไปและผัดจนเข้าเนื้อ
  3. ใส่น้ำตาลปึก เคี่ยวจนน้ำตาลละลาย ชิมรสและตักพักไว้

ขั้นตอนการทำไข่เส้น
ตีไข่ในถ้วยใบเล็ก ไม่ต้องปรุงรสนะคะ จากนั้นนำไปทอดในกะทะขนาดใหญ่ เมื่อไข่สุกทั่ว ค่อยๆม้วนไข่และยกขึ้นมาพักไว้ให้เย็น เวลาเสิร์ฟหั่นเป็นเส้นๆ

ขั้นตอนการทำข้าวคลุกกะปิ
ตั้งกะทะให้ร้อนด้วยไฟแรง ใส่น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ พอน้ำมันร้อนนำกะปิลงไปผัด ตามด้วยข้าวสวยและผัดให้เข้ากัน อย่าให้กะปิเป็นก้อนนะคะ

จริงๆแล้วความยุ่งยากอยู่ที่การเตรียมเครื่องแกล้มที่กินคู่กับข้าวคลุกกะปิ ไม่ว่าจะเป็นหมูหวานไก่หวาน กุ้งแห้งทอด ไข่เค็ม ไข่ทอด หอมแดง พริกขี้หนู มะนาว อันนี้แล้วแต่แม่ครัวแต่ละท่านว่าจะมีความมานะอุตสาหะแค่ไหนค่ะ ลองเอาไปทำรับประทานดูนะคะ



วันจันทร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Salmon Hor Mok ( Streamed salmon pancake)



Ingredients (serves 2-4)
100 g Salmon, finely minced
2 tablespoons red curry paste
2 eggs,beaten
2 tablespoons Coconut milk
1 teaspoon sugar
basil leaves for decoration
red Chili
50 ml. water

  1. Mince salmon with a blender. If you do not have a blender, Finely chopped salmon. Then mince it in a motar. Rest the salmon aside.
  2. Grind red curry paste and salmon together.
  3. Gradually add beaten eggs , 1-2 teaspoons at a time. Grind ingredients until well-blend. Need approximately 10-12 teaspoons beaten eggs.
  4. Add 25-5o ml. of water.
  5. In the meantime, boil water in a steamer.
  6. line a small bowl with basil leaves. Put all well-mixed ingredient into the bowl. Then stream in a streamer for 20-30 minute.
  7. Serve quickly when cooked. Top with coconut milk and red chili.



วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Macaroni Salad



Ingredients (serves 4-5)
250g cut macaroni
3 stalks celery, chopped
200g crab flavored pallock
1 red pepper, chopped
5 tablespoons low-fat mayonnaise
1 cup low-fat natural flavour yogurt
1/2 teaspoon salt
  1. Bring a pot of lightly salted water to a boil. Add macaroni and cook for 10 minutes, until tender. Drain and set aside to cool.
  2. In a large bowl, stir together celery, red pepper and crab flavored pallock.
  3. Mix mayonnaise and yogurt in a small bowl. Taste and adjust seasoning.
  4. Combine in the bowl and stir in macaroni until well blend.
  5. Cover and chill at least 1 hour before serving.




วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Linguine with Salmon pa-nang curry


Ingredients (serves 2)
200g Atlantic salmon steak
100g Linguine
50g pa-nang curry paste
100 ml. coconut milk
1 red pepper, chopped
2 cloves garlic, finely chopped
1 tablespoon sugar
1 teaspoon fish sauce
1 teaspoon concentrated lemon juice

  1. Marinated salmon with black pepper and salt for at least 30 minutes
  2. Pre-heat a large non-sticky sauce pan. Then add 2 teaspoons oil. Drop salmon steak in the pan and cook over medium-high heat. Then flip over the salmon to other side until cooked.
  3. Sit the salmon on oil-absorbing paper.
  4. Heat oil in a large sauce pan with medium heat. Stir fry garlic for 2-3 minutes, then add pa-nang curry pasted. Stir fry until fragrant.
  5. Add coconut milk 100 ml. and water 50 ml.
  6. Occasionally stir the ingredients for 4-5minutes, then add red pepper.
  7. Taste and adjust seasoning.
  8. When the paste is already cooked, add pan-fry salmon in the pan. Flip the salmon to let ingredient bathing all over.
  9. Sit the salmon in the pan and cover with lid. In the meantime, boil water in a pot. Add 2 teaspoons salt. Then add linguine and cook for 10 minutes or until pasta reaches al dente.
  10. Plate and serve quickly.

Food is love, love is food. Viva l'amour ^^

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แกงเผ็ดหน่อไม้ ( Bamboo shoots curry with Pork)


Ingredients ( serves 4-5)

300 g Pork, cut 1-2 cm. thick
50g Red curry paste
1 can of bamboo shoots, boiled for 5 minutes
200 ml. coconut milk
2 cloves of garlic, finely chopped
basil leaves
2 tablespoons vegetable oil
4-5 red chili, roughly chopped
seasonings such as fish sauce, sugar

  1. Heat the oil in a large saucepan with medium heat. Stir fry garlic for 2-3 minutes.
  2. Add red curry paste and stir occasionally until fragrant.
  3. Add pork and stirring until almost cooked.
  4. Add coconut milk 200 ml. and water 100 ml. then bring to boil.
  5. Add Bamboo shoots and cover the saucepan with a lid
  6. Taste and adjust seasoning with fish sauce, sugar

serve on jasmine rice bed and siding with or without fried egg. There are good together !! GREAT combination !

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Chocolate brownies



I have never baked and always believe baking is far beyond my ability to cook ,up until a couple of months ago when my good friend, Helga, handed me easy and do-able brownie recipe. This recipe uses premixed brownie powder which makes your first baking is absolutely not painful.

Ingredient (for 9-inch square pan)
400g premixed brownie powder, any brands you prefer
1/4 cup water
1/4 cup cooking oil
1 egg

  1. Heat oven to 350F. Grease bottom only of a pan
  2. Stir premixed powder, water, cooking oil and egg in a bowel, using a spoon until well blended
  3. Spread in pan
  4. Bake 30-33 minutes, you can interval check your brownie or until toothpick inserted 2 inches from side of pan comes out almost clean
  5. Cool completely for easier cutting and serve

Heart of baking is how to encourage yourself do another baking !! Suggest to start with an easy one. Bon Appetite ^^

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข้าวผัดกิมจิ ( Kimchi fried rice)


เครื่องปรุงและส่วนผสม(สำหรับ 4 ที่)
ข้าวสวยหุง 4 ทัพพี
กิมจิผักกาด 2-3 ช้อนโต๊ะ
เนื้อหมูติดมัน 100 กรัม หมักด้วยซีอิ๊วขาวและพริกไทย
เห็ดเข็มทอง 100 กรัม
เต้าหู้อ่อนหั่นเต๋า 100 กรัม
กระเทียม 3-4 กลีบ
ต้นหอม
ซอสศรีราชา
โชหยุ

วิธีทำ
  1. นำกระเทียมลงไปเจียวจนหอม นำเนื้อหมูลงไปผัดให้สุก จากนั้นนำกิมจิลงไปผัด ระวังอย่าใช้ไฟแรงนะคะ ลดไฟลงมาเป็นไฟปานกลาง
  2. ปรุงรสด้วยซอสศรีราชา โชหยุ
  3. ใส่เห็ดเข็มทองและเต้าหู้อ่อนลงไปผัด เบามือระวังเต้าหู้แตกละเอียดไม่สวยนะคะ
  4. ใส่ข้าวสวยลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน จนสีสวยดี ชิมรสและปรุงรสตามชอบ ตักเสิร์ฟร้อนๆ

Ingredients (Serves 4)
200 g Cooked Jasmine rice
2-3 tablespoons cut cabbage Kimchi
Pork 100 g , marinated with soya sauce and pepper, then slice in small thin pieces
100 g Enoki mushroom, roughly cut
100 g Tofu, diced
3-4 finely chopped garlic
chopped Chinese onion
1-2 tablespoons Chili sauce
1 teaspoon Soyu sauce
  1. Marinate pork with soya sauce and pepper for at least 30 minutes. Then, Slice into small, thin piece.
  2. Heat the oil in sauce pan. Stir-fry chopped garlic until it turns yellow or fragrant . Then add sliced pork, fry for 4-5 minutes until done.
  3. Add tofu and stir-fry gently , taking care not ot let the tofu lose in its shape.
  4. Add cut cabbage Kimchi, Enoki mushroom and stir-fry for a couple of minutes until all ingredients is well-mixed.
  5. Add cooked jasmine rice
  6. Flavor with chili sauce and Soyu. Taste and adjust the seasoning.
  7. Spoon into serving dish, garnished with chopped Chinese onion.




วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

น้ำพริกกะปิ ( Shrimp paste chilli sauce )


ช่วงไหนที่รู้สึกว่ารับประทานผักน้อย แม่ครัวจะพยายามทำเมนูน้ำพริกรับประทาน เพราะจะทำให้ได้รับประทานผักกับ ยิ่งอยู่ต่างประเทศ อาหารจานผัก ถ้าไม่นับเมนูมังสวิรัติและสลัด หารับประทานยากนะคะ วันนี้เอาเมนูน้ำพริกกะปิมาฝาก ทำง่ายๆ ไม่ยุ่งยากเลยค่ะ
ส่วนผสม
กะปิอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ
น้ำมะนาว
กระเทียม
พริกขี้หนู
หอมแดง
ปลาแห้ง หรือ กุ้งแห้ง (แม่ครัวใช้ปลากรอบแทนค่ะ )
มะเขือพวง ( ถ้าหาได้นะคะ สำหรับคนไกลบ้าน)
มะเขือม่วง (egg plant)
ไข่ไก่
แป้งมัน
ผักกับ : แตงกวา ผักกาดขาว มะเขือ ถั่วฝักยาว ( เลือกเอาตามชอบ และตามที่หาได้)

วิธีทำ
  1. ตำปลากรอบให้ละเอียดด้วยครกและพักไว้ ใครใช้กุ้งแห้ง ปลาแห้งห็เอามาตำก่อนเช่นกันค่ะ
  2. นำกระเทียม 5-6 กลีบ พริกขี้หนู ( มากน้อยเอาตามระดับความเผ็ดที่ต้องการ) หอมแดง มาตำให้ละเอียด จากนั้นเอากะปิลงไปตำค่ะ ภาษาแม่บ้านเค้าว่าตำให้กะปิฟู เดาเอาเองว่าน่าจะตำให้กะปิดูนวลเนียนสวยงาม ใช้กะปิไม่เยอะนะคะ ราว 2 ช้อนโต๊ะ ก็ได้น้ำพริกถ้วยใหญ่แล้ว พอตำได้ที่ให้เติมน้ำต้มสุกไปเล็กน้อยค่ะ
  3. ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ มะนาว ค่อยๆชิมจนรสเค็ม กลมกลืนกับรสเปรี้ยว เผ็ด หวานนะคะ อันนี้บอกไม่ได้ว่าเติมอะไรเท่าไหร่ เพราะแม่ครัวไม่ทราบจริงๆ เอาเป็นว่ารสที่เราชอบ
  4. ปิดท้ายด้วยนำปลากรอบตำมาใส่ลงไปและคลุกให้เข้ากัน แม่ครัวชอบให้มันมีอะไรกรุบๆ ไม่ใช่น้ำพริกโล้นๆ ใครชอบกุ้งแห้ง ปลาแห้ง ก็เลือกตามชอบ สูตรเรายืดหยุ่นมากๆค่ะ
วิธีทำมะเขือชุบไข่
  1. มีคนแนะนำว่าให้หั่นมะเขือ หนาประมาณ 1 เซนติเมตร และนำไปแช่น้ำเย็นราว 10 นาทีเพื่อให้มะเขืออมน้ำ จนอวบ เวลาทอดจะไม่ค่อยอมน้ำมัน
  2. ตีไข่ไก่สองฟอง ผสมแป้งทอดกรอบ หรือแป้งโกกิเล็กน้อย เพื่อให้ไข่ติดมะเขือดียิ่งขึ้น
  3. เวลาทอดเราตั้งน้ำมันให้ร้อน แต่ทอดด้วยไฟปานกลางนะคะ ถ้าทอดไฟแรงเกินไป ไข่จะไหม้ก่อนมะเขือสุก แต่ถ้าไฟอ่อนมะเขือจะอมน้ำมัน รับประทานไม่อร่อยเลยค่ะ
  4. ยกเสิร์ฟร้อนๆ อย่าทิ้งไว้นาน เพราะจะไม่กรอบอร่อย ใครมีชะอมก็เอามาชุบไข่ทอดจะยิ่งเพิ่มรสชาติ แต่วันนี้แม่ครัวหาชะอมไม่ได้จริงๆ อีกอย่างที่รับประทานเข้ากันคือปลาทูทอดค่ะ

ขอให้แม่บ้านทุกท่านสนุกกับเมนูพื้นบ้านไทย ที่ทั้งง่ายและดีต่อสุขภาพนะคะ แต่อย่ารับประทานแต่มะเขือชุบไข่ ต้องรับประทานผักเยอะๆค่ะ

Bon appetite ^0^


วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ข้าวขาหมูต้มโค้ก (Coca-cola pork shank with rice and hard-boiled egg)




ไปได้สูตรขาหมูต้มโค้กจากครัวไกลบ้าน วันนี้เลยเอาสูตรมาแจกและลองทำรับประทานไปด้วย ชื่อภาษาฝรั่ง แม่ครัวคิดเองว่ามันคือ Coca-cola pork shank with rice and hard-boiled egg ยาวมากๆ แต่เอาไว้ให้คนที่มีเพื่อนฝรั่งและเพื่อนมันดันถาม ^^ เครื่องปรุงและขั้นตอนค่อนข้างเยอะทีเดียวค่ะ แต่แม่ครัวมักจะตื่นเต้นทุกที ที่ได้ลองเมนูใหม่ๆ นะคะ ไม่ทราบคุณแม่บ้านท่านอื่นเป็นเหมือนกันรึป่าว ไม่พูดมาก ให้เสียเวลา เราเข้าประเด็นและไปเปิดครัวกันเลยค่ะ ^^

ส่วนผสมและเครื่องปรุง
ขาหมูติดมัน
โค้กขนาด 2 ลิตร
ผักคะน้า
ไข่ไก่
รากผักชี
กระเทียม
พริกไทย
เกลือ
ผงพะโล้ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ
ผักกาดดอง

วิธีทำ
  1. ขั้นตอนแรก เราต้องเตรียมขาหมูก่อน โดยนำมาล้างให้สะอาด ถ้าเห็นขนติดอยู่ เจ้าของสูตรเค้าให้เอาน้ำเดือดราดให้ทั่วและใช้มีดขูดขนออก พร้อมทั้งมันที่ติดตามหนัง ป้องกันการเหม็นหืนค่ะ เสร็จจากขั้นตอนขูด ต้องเอาไปล้างอีกรอบ เอาจนสะอาด ไม่เหม็น
  2. ตำรากผักชี กระเทียม 15 กลีบ พริกไทย 1 ช้อนโต๊ะและเกลือ ให้เข้ากัน นำส่วนผสมที่ได้ไปคลุกกับขาหมูที่เราเตรียมไว้
  3. เทโค้ก ปริมาณ 1 ลิตรใส่ลงหม้อ และเอาขาหมูลงไปต้ม เห็นฟองฟ่อดอย่าตกใจนะคะ ค่อยๆ เท ค่อยๆต้มไปค่ะ เติมผงพะโล้ 2 ช้อนโต๊ะ เพื่อให้มีกลิ่นหอม
  4. ระหว่างรอเคี่ยวขาหมู นำไข่ไก่มาต้มรอเลยค่ะ เช่นเคยตามชอบค่ะ ใครชอบยางมะตูม หรือแบบแข็ง ไม่มีบังคับค่ะ พอต้มไข่เสร็จแล้ว นำไข่มาปอกเปลือก และใส่ลงไปในหม้อขาหมู
  5. ใช้เวลาตุ๋นอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ยิ่งตุ๋นนานยิ่งรสชาติดี แต่การที่มีโค้ก ช่วยได้มากเพราะทำให้ขาหมูนิ่มเร็วกว่าปกติค่ะ ระหว่างนี้อาจปิดฝาหม้อ และลดไฟลงให้อ่อน ป้องกันไม่ให้โค้กระเบิด.. ล้อเล่นค่ะ เดี๋ยวฟองจะฟู่มากไป ค่อยๆชิมรสและเคี่ยวไปเรื่อยๆ จากนั้นใส่ต้นคะน้าลงไป เอาให้สีพอเปลี่ยน อย่าต้มจนดำนะคะ
  6. ตอนนี้เรามาทำน้้ำจิ้มกัน ส่วนผสมก็ง่ายๆนิดเดียว เอาพริกขี้หนูมาตำให้ละเอียดเติมเกลือเล็กน้อย จากนั้นตักใส่ชามปรุงด้วยน้ำส้มสายชู
  7. รอจนขาหมูนิ่ม และสีสวย นำมาหั่นเสิร์ฟ ใครชอบหนัง ชอบเนื้อ เนื้อล้วน เนื้อหนังสั่งได้ ^^ เวลาเสิร์ฟอย่าลืมเครื่องเคียงคือ ผักกาดดองและต้นคะน้า
นานๆทำอาหารยากๆ รับประทานซักทีก็สนุกดีนะคะ แต่ขืนรับประทานบ่อยๆ ขาแม่ครัว คงกลายเป็นขาหมูแน่ๆวันนี้ลาไปก่อน แล้วจะเอาเมนูใหม่ๆ มานำเสนออีกค่ะ บายๆ

วันอาทิตย์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Oyako Donburi (ข้าวหน้าไก่)

















วันนี้ขอรีเมคเมนูที่ชอบรับประทานมากๆ และเคยแจกสูตรไปแล้วนานมากแล้วค่ะ แต่มีเสียงตอบรับบอกว่าคราวก่อน ขั้นตอนไม่ละเอียดอยากให้มารีเมคให้ทำตามง่ายๆ อันนี้แม่ครัวไม่ขัดข้องค่ะ

ส่วนผสม โอยาโก ดงบุริ
เนื้อไก่ส่วนอก หั่นเป็นชิ้นพอคำ 500 กรัม
น้ำต้มกระดูกไก่ 250 มิลลิลิตร
ซอสถั่วเหลือง
น้ำส้มสายชู
กรณีที่อยากได้แบบสูตรแท้ดั้งเดิม ใช้เหล้ามิรินและผงดาชิแทนนะคะ แต่แม่ครัวหาส่วนผสมไม่ได้เลยประยุกต์เอาเอง
หัวหอมซอย
ต้นหอม
เห็ดชิตาเกะ
ไข่ไก่ 1-2 ฟอง

วิธีทำ
  1. ต้มน้ำต้มกระดูกไก่ให้เดือด ถ้าใครใช้ผงดาชิก็ให้ต้มน้ำผสมผงดาชิเลยนะคะ เป็นผงปลาแห้งค่ะเท่าที่ทราบ พอน้ำเริ่มเดือดเราใส่ซอสถั่วเหลือง 3 ช้อนโต๊ะ น้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาล 1-2 ช้อนโต๊ะ ให้รสออกหวานนำเค็ม
  2. แบ่งน้ำซุปใส่ลงในกระทะแพนเค้กเล็กๆ ถ้าใครมีกระทะสำหรับทำโอยาโก ดงบุริโดยเฉพาะจะเจ๋งมากค่ะ เพราะจะได้ขนาดพอดีถ้วยเลย
  3. เติมหัวหอม เห็ด และเนื้อไก่ลงไปและปรุงจนสุก ขั้นตอนนี้แอบชิม แอบปรุงต่อเอาให้ได้รสที่ชอบนะคะ
  4. เตรียมตอกไข่ไก่ และยีให้ฟู จากนั้นราดไปบนส่วนผสมในกระทะที่ร้อนระอุรออยู่แล้ว ตรงนี้ใครชอบไข่ดิบหรือไข่สุก เลือกเอาตามชอบ แม่ครัวชอบไข่สุกๆ ค่ะ
  5. เวลาเสิร์ฟให้ราดบนข้าวร้อนๆ โรยหน้าด้วยต้นหอม ^^ ฝีมือตัวเองน่ารับประทานที่สุด ต้องยอตัวเอง ให้เกิดกำลังใจ

ขอให้มีความสุขกับเมนูนี้นะคะ



วันจันทร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

โจ๊กข้าวกล้องหมูเด้ง (Congee with pork)



อาหารหากินง่าย ที่บ้านเรา แต่มาทำจริงๆ ไม่ได้ง่ายนะคะ ขั้นตอนยุ่งยากพอสมควร แต่รับรองว่าสนุกและอร่อยแน่นอนค่ะ

ส่วนผสมโจ๊กข้าวกล้องหมูเด้ง
ข้าวกล้องหุงสุก 2 ถ้วย
น้ำต้มกระดูกหมู 500 ซีซี
หมูสับ 100 กรัม
ไข่ไก่ 1 ฟอง
แป้งมัน 1 ช้อนโต๊ะ
ขิงสด

วิธีทำ
  1. นำหมูสับมาหมักด้วยซีอิ๊วขาว พริกไทย รากผักชี ไข่ไก่ และแป้งมัน
  2. คลุกเคล้าให้เข้ากัน ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงค่ะ
  3. จากนั้นนำข้าวกล้องหุงสุก มาปั่นด้วยเครื่องปั่นให้ละเอียด ใครไม่มีที่ปั่นใช้ตำก็ได้นะคะ เน้นให้เละไว้ก่อน หรือใครจะไม่ปั่นไม่ตำ ก็ไม่ว่ากันค่ะ ถ้าไม่ปั่นไม่ตำ ต้องเคี่ยวนานหน่อยเท่านั้นเอง
  4. นำน้ำต้มกระดูกหมูไปตั้งไฟจนเดือด จากนั้นนำข้าวกล้องปั่นของเราใส่ลงไป ขั้นตอนนี้ต้องระวังอย่าไปใส่ข้าวเร็วไปเพราะจะได้โจ๊กที่มีน้ำเละๆ ไม่ข้นนะคะ ลดไฟเหลือไฟปานกลางและเคี่ยวไปเรื่อยๆ หมั่นคนข้าวบ่อยๆ เพราะข้าวจะชอบติดก้นหม้อและไหม้ได้ค่ะ คนไปจนเนื้อโจ๊กเนียนเข้ากัน ใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมง
  5. นำหมูสับที่เราหมักเตรียมไว้ ปั้นเป็นก้อน ขนาดพอคำ ค่อยๆหยอดลงไป อยากกินหมูมากเท่าไหร่ก็ใส่ลงไปเท่านั้นค่ะ แม่ครัวเน้นโปรตีน เลยใส่ไปเต็มหม้อเลย ฮ่าๆๆ
  6. พอเนื้อหมูสุกดี ปิดไฟ และตักเสิร์ฟร้อนๆ ตกแต่งด้วยขิงสด กระเทียมเจียว ต้นหอม ใครจะใส่ไข่ก็ได้ อันนี้ตามชอบเลยค่ะ
แม่ครัวภูมิใจกับเมนูนี้เป็นพิเศษค่ะ อาจเป็นเพราะขั้นตอนเยอะ และต้องอดทนเคี่ยวข้าวกล้องนานมากๆ กว่าจะได้โจ๊กหน้าตาสวยๆ รสดีๆมารับประทาน หวังว่าทุกท่านจะชอบเมนูนี้นะคะ

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สปาเกตตี้ผัดหอยลาย ( spaghetti with Thai-style sauce with clam)


หอยลาย ฝรั่งเค้าเรียก clam เป็นส่วนผสมในหลายเมนูทั้งอาหารฝรั่งและอาหารไทย พอดีไปเจอหอยลายตัวเบ้อเริ้มมา สัญชาตญาณแม่บ้านมันอดไม่ได้ค่ะ มันต้องเอามาทำอะไรซักอย่าง เมนูวันนี้เลยเป็น fusion food แบบอาหารกึ่งฝรั่งกึ่งไทย " สปาเกตตี้ผัดหอยลาย" ให้รสชาติแซ่บๆ เอาใจคออาหารไทยแต่ยังได้อารมณ์อินเตอร์มาเป็นของแถม

เมนูนี้ ส่วนผสมง่ายๆ วิธีการทำก็ง่ายๆ เราเริ่มกันเลยนะคะ

ส่วนผสม
หอยลายสด ตัวใหญ่ๆ 500 กรัม
เส้นสปาเกตตี้ ครึ่งกล่อง
ใบกะเพรา
พริกขี้หนูสด
กระเทียม
น้ำมันหอย
น้ำตาล น้ำปลา ปริมาณตามชอบนะคะ

วิธีทำ
  1. ถ้าใช้หอยลายสด ล้างให้สะอาด นำหอยลายแช่น้ำเกลือนาน 30 นาที เพื่อให้หอยคายเศษทรายที่ปนเปื้อนให้หมด จากนั้นนำไปต้มให้ในน้ำเดือด ราว 3-5 นาที พอเห็นเปลือกหอยอ้าปุ๊บ ให้ปิดไฟทันทีค่ะ ส่วนใครหาหอยลายสดๆ ไม่ได้ ก็ใช้หอยลายแช่แข็งได้นะคะ สะดวกดีเช่นกัน
  2. นำหอยลายมาแกะเปลือกออกให้หมดและพักไว้
  3. จากนั้นมาเตรียมเส้นสปาเกตตี้ โดยต้มน้ำสะอาดให้เดือด เติมเกลือป่นลงไปราว 2 ช้อนชา และนำเส้นสปาเกตตี้ลงไปต้มราว 10 นาที ให้เส้นพอหนึบๆ ก็พอนะคะ อย่าเอาจนเละ หรือใครไม่แน่ใจว่าสปาเกตตี้ของตัวเองต้องต้มนานแค่ไหน ง่ายๆค่ะ อ่านจากข้างกล่อง พอเส้นสุกตามต้องการเราก็ปิดไฟ นำเส้นไปเดรนในน้ำเย็น เพื่อคงความเหนียวนุ่ม พักเส้นไว้ค่ะ
  4. ตั้งน้ำมันในกระทะจนร้อน ใส่กระเทียมสับลงไป ตามด้วยพริกขี้หนู และนำหอยลายลงไปผัด ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย น้ำปลา น้ำตาล ให้ได้รสตามใจชอบค่ะ แต่ต้องให้รสเข้มนิดนึงเพราะเราต้องเอาไปคลุกกับเส้น จากนั้นเติมใบกะเพราะหรือใครหาไม่ได้ให้ใช้ใบโหระพา พอผักเริ่มสีเปลี่ยนปิดไฟเลยนะคะ
  5. นำเส้นสปาเกตตี้มาคลุกกับเนื้อหอยที่เราผัดไว้ค่ะ ค่อยๆคลุกอย่าให้เส้นขาด เพราะจะดูไม่สวยงามน่ารับประทาน คลุกจนเข้ากันดี และตักเสิร์ฟค่ะ
เจริญอาหารทุกทีเลย ถ้าได้รับประทานอาหารแซ่บๆ คิดถึงเมืองไทย คิดถึงอาหารไทย คิดถึงคนไทยด้วย

Bon appetite ทุกๆท่าน แม่ครัวลาไปก่อนนะคะ บายๆ ^^

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ไข่ลูกเขย (son-in-law eggs)



ลองไปค้นที่มาของเมนูไข่ลูกเขย เจออยู่ในเวบไซต์ยอดนิยมของคนไทย ขึ้นต้นด้วย พ. ไม่ต้องบอกก็เดาได้นะคะว่าเวบไซต์ไหน มีคนเอามาเล่าว่า ไข่ลูกเขยเป็นอาหารไทยสูตรโบราณ สมัยก่อนถ้าผู้ชายได้ผู้หญิงไปเป็นภรรยาตามประเพณีแล้ว เอาลูกสาวเค้าไปเลี้ยงดูไม่ดี แม่ยายจะทำไข่ลูกเขยให้รับประทาน อันเป็นสัญลักษณ์ว่า ถ้าคุณยังไม่ปรับตัว เลี้ยงดูลูกสาวชั้นให้ดีๆ คราวหน้านั้นจะมาทำไข่ลูกเขยให้รับประทานอีก แต่ใช้อวัยวะส่วนไหน ไม่ต้องบอกนะคะ.. ไม่ทราบว่าเรื่องเล่านี้ จริงเท็จแค่ไหน แต่ฟังแล้วมีอันเสียวสันหลัง ฮ่าๆๆ

ไข่ลูกเขยเป็นเมนูง่ายๆ ที่มีเครื่องปรุงไม่กี่อย่างค่ะ วิธีทำก็ไม่ซับซ้อน เรามาเริ่มกันเลยนะคะ
ส่วนผสม
ไข่ไก่ต้ม
น้ำมะขามเปียก
น้ำตาลปี๊บ
น้ำปลา
หอมซอยทอด
น้ำมันมะกอก
วิธีทำ
  1. ต้มไข่ให้สุก สุกแค่ไหนแล้วแต่ความชอบนะคะ โดยส่วนตัวแม่ครัวชอบไข่สุก ไม่นิยมยางมะตูม วันนี้เลยต้ม 12 นาที ถ้าชอบยางมะตูมให้ต้มต่ำกว่า 10 นาทีค่ะ
  2. ปอกเปลือกไข่ที่ต้มสุกแล้ว และล้างให้สะอาด ผ่าแบ่งครึ่งซีก
  3. ตั้งน้ำมันให้ร้อนในกระทะ นำไข่ลงไปทอดให้เหลืองทั่วๆกัน แม่ครัวทอดไป ท่องเวบไซต์ไป ปรากฎว่าไข่ไหม้ ฮ่าๆ ต้องระวังนะคะ พยายามใช้ไฟอ่อนถึงปานกลางค่ะ พอไข่สีสวยแล้วตักออก และพักไว้
  4. มาปรุงน้ำราดไข่ลูกเขยกันนะคะ ใช้น้ำมะขามเปียกเข้มข้น น้ำตาลปี๊บ น้ำปลาเล็กน้อย ผสมให้เข้ากันในกระทะที่ตั้งไฟปานกลาง ชิมให้ได้รสตามชอบนะคะ เท่าที่รับประทานมา รสน้ำซอสจะออกเปรี้ยวหวานนำ เค็มออกรสน้อยมาก แต่ทั้งนี้แล้วแต่ความชอบของแม่ครัวแต่ละท่านค่ะ
  5. พอน้ำซอสเสร๊จแล้วนำมาราดบนไข่ที่เราทอดรอไว้เหลืองสวยน่ากิน ตักเสิร์ฟ พร้อมตกแต่งด้วยหอมเจียวและผักสีสวยๆ
ลูกเขยบ้านไหน กลับบ้านวันนี้เจอคุณแม่ยายทำไข่ลูกเขยรอ คงต้องรีบพิจารณาตัวเองนะคะว่า ลืมเอาใจใส่ภรรยาตัวเองรึปล่าว ^^ เอาเถอะค่ะ ไม่ว่าไข่ลูกเขยจานนี้จะมีที่มาอย่างไร ขอให้คุณพ่อบ้านและคุณแม่บ้าน อิ่มอร่อยกับอาหารจานนี้ และรักกันไปนานๆ สมความตั้งใจคุณแม่ยายนะคะ

วันนี้แม่ครัว ลาไปก่อน บายๆ ค่ะ


วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

หมูผัดน้ำเงี้ยว ( Northern-style curry with pork)


ผลพวงจากที่คุณแม่แพคน้ำพริกน้ำเงี้ยวมาให้ บวกกับความอยากกินขนมจีนน้ำเงี้ยวมากแต่หาเครื่องได้ไม่ครบ เลยลองประยุกต์ทำเมนูนี้ขึ้นมาเล่นๆ เสร็จออกมาหน้าตาดูได้ รสชาติก็พอไปวัดไปว่า แฟนๆ อาหารเหนือลองเอามาทำเล่นๆรับประทานดูนะคะ

ส่วนผสม
  • เนื้อหมู วันนี้เลือกเนื้อหมูติดมันที่เอามาทำสตูว์ ชิ้นอวบๆ จะได้กลิ่นไอขนมจีนน้ำเงี้ยวกระดูกหมู ที่คุณน้าที่บ้านชอบทำ
  • น้ำพริกทำน้ำเงี้ยว
  • หอมหัวใหญ่
  • ถั่วฝักยาว
  • นมสด
  • น้ำตาล น้ำปลา
  • น้ำมัน

วิธีทำ
  1. เตรียมหมูโดยล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม และหมักกับซีอิ๊วขาว พริกไทย รากผักชี ทิ้งไว้ข้ามคืนเนื้อจะนุ่มอร่อยมากค่ะ
  2. ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อน นำน้พพริกน้ำเงี้ยวไปผัดจนกลิ่นหอม และเติมนมสดลงไปเล็กน้อยให้พอขลุกขลิก จากนั้นเติมน้ำตมกระดูกหมุไปเล็กน้อย ใส่เนื้อหมูที่เราหมักไว้ลงไปผัด จนเนื้อหมูเริ่มสุก จึงทยอยนำถั่วฝักยาวและต้นหอมใส่ลงไป
  3. ปรุงรส ตามชอบนะคะ เสียดายถ้าหาเลือดไก่ได้ จะเอามาผัดด้วย แต่หาไม่ได้ค่ะ เลยได้อารมณ์แบบเหนือประยุกต์ แต่กลิ่นหอมของน้ำพริกกับหมูนุ่มๆ ก็ทำให้หายคิดถึงบ้านไปเยอะเลยค่ะ



วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Go with the Flow


In our society, we often use the phrase, "Go with the flow." Many of us have not given any thought as to what that means. Going with the flow means moving with the flow of events. It means that you move with the present, and you do not fight against it. The present is also known as "current." It is the energy of one event happening after another. By staying connected with the current, you flow with it. With flow, you are no longer resisting the events of your life. You understand that every event that occurs in your life had to happen exactly as it did. At the level of spiritual energy, there are no mistakes.

Everything that happens in your life happens for a reason that benefits you. We always say that "everything happens for a reason," but we conveniently leave off the fact that it happens for reason that benefits us. We may never consciously see how that situation benefits us, but it inevitably holds a pearl for us that we need only to see, experience, feel, or hear.

The spiritual person moves with the flow of the present. She doesn't spend time wishing that this moment were anything different than what it already is. She experiences it, accepts it, and makes a decision about how she will see it. She spends no time on how the situation could have been, should have been, or would have been. She accepts now and flows with it.

When you indulge yourself into the should've, could've, and would've, you are fighting the flow. In fact, you are stopping it to analyze it instead of moving with it. You are spending your present moments analyzing the past moments...moments which you can do nothing about. You are using the moments you have choice about to ponder moments you cannot change.

Moving with the flow of events requires a trust that everything is exactly as it should be. There is an understanding that there is nothing wrong and that everything happens for a reason that benefits us, even when we don't understand it.

The spiritual person realizes that this isn't always a pleasant experience. Situations will come up that may be difficult to deal with and possibly painful. Where the vast majority of people will complain about the situation and will wish for something else, the spiritual person will allow himself to experience the emotions he has attached to the circumstance. He will see that the situation is what it is, and will claim full responsibility for the emotions he generated about it. He will also continue to flow with the event. Despite his opinions about the event itself, he will continue to move with it and not make a decision to move against that flow because of the emotions he is feeling. He will look inwardly for the next action or wait for the next action to become obvious. Rather than fight, he thinks movement. This is what it means to flow



Article Source: http://EzineArticles.com/2926175

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อร่อยเบาๆ กับ ซุปน่องไก่ใส่มันหวาน


ไม่ทันไร ที่นี่จะเข้าฤดูร้อนแล้วค่ะ หลังจากผจญกับฤดูหนาวยาวนานกว่า 8 เดือน มองไปรอบๆตัว ที่ที่เคยมีแต่หิมะ ตอนนี้กลายเป็นต้นหญ้าสีเขียว มีดอกไม้ มีนกร้อง กระต่ายกระรอกออกมาวิ่งเล่น เพิ่งอ่านหนังสือของท่าน Osho ศาสดาทางจิตวิญญาณชาวอินเดีย ท่านกล่าวว่า เราไม่มีความรู้สึกตัวพอว่าทุกสิ่งนั้นใหม่ตลอดเวลา สำหรับจิตที่ไม่รู้ตื่นทุกอย่างจะดูเก่า สำหรับจิตที่มีชีวิตชีวาทุกอย่างไม่มีอะไรเก่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เลื่อนไหล เลยมองย้อนไปที่ตัวเองว่า เราเคยบ่นกับฤดูหนาวว่าช่างมืด เทา ขาวโพลนไปทุกวันๆ น่าเบื่อ แต่จริงๆคงไม่มีสติพอที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เช่นอากาศค่อยๆอุ่นแล้ว มีต้นไม้งอก และนกเริ่มร้อง กว่าจะรู้ตัวฤดูกาลก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว.. เค้าถึงบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง คนที่เดินออกจากบ้านไปตอนเช้า เมื่อเค้าเดินกลับมาในตอนเย็น เค้าก็เป็นอีกคนนึงเสมอ ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม ^^

บ่นอะไรไม่รู้มายืดยาว แค่เพราะจะเข้าเมนูอาหารวันนี้ ที่เป็นเมนูเบาๆ สบายท้อง สำหรับช่วงฤดูเปลี่ยน ที่นี่อากาศหนาวๆ ร้อนๆ เดี๋ยวฝน เดี๋ยวแดด แม่ครัวเองป่วยมาสองสามรอบแล้วค่ะกับอากาศแบบนี้ ทุกครั้งที่เป็นหวัดจะนึกถึงซุปรสอ่อนๆ ร้อนๆ สักถ้วย เลยเป็นที่มาของเมนูในวันนี้ค่ะ

"ซุปน่องไก่ใส่มันหวาน"( Chicken drumstick broth with onion and sweet potato)

น่องไก่ 400 กรัม เลือกขนาดตามชอบ
น้ำซุปไก่ 500 ซีซี จะใช้ซี่โครงไก่ต้ม หรือจะใช้ผงไก่ก้อน ก็ตามสะดวกค่ะ
หอมหัวใหญ่หั่นเป็นแว่น
มันหวาน (sweet potato)
เกลือป่น

วิธีทำ
  1. หมักน่องไก่ในซอสถั่วเหลืองกับพริกไทยดำ ทิ้งไว้ราว 1 ชั่วโมง
  2. ตั้งไฟ ต้มน้ำซุปไก่จนเดือด ถ้าใครใช้ผงไก่ก้อน ให้ต้มน้ำสะอาดพร้อมกับผงก้อนไก่ รอจนเดือดใส่น่องไก่ลงไปต้ม ให้ช้อนฟองที่ลอยบนน้ำซุปออกนะคะ ไม่งั้นน้ำซุปจะไม่ใส
  3. พอเดือด ใส่หัวหอมและมันหวานลงไป
  4. ลดไฟ และเคี่ยวจนส่วนผสมสุก ปรุงรสด้วยเกลือป่น แม่ครัวชอบปรุงรสซุปด้วยเกลือมากกว่าซีอิ๊วหรือน้ำปลาค่ะ เพราะรู้สึกว่าได้รสที่นิ่มนวลและไม่ทำลายกลิ่นของซุป ซึ่งมาจากหัวหอม มัน และเนื้อไก่
  5. ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยพริกไทย ใครไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้ รับประทานร้อนๆ อาจจะรับประทานเดี่ยวๆ หรือคู่กับข้าวสวยนิ่มๆ ชูกำลังและทำให้คนป่วยเจริญอาหารได้ดีนักแล..

อากาศเปลี่ยนแปลง ขอให้รักษาสุขภาพของตัวเองและคนใกล้ตัวนะคะ แม่ครัวฝากเมนูนี้ไว้รักษาสุขภาพทุกๆคนค่ะ ^^

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หมึกผัดไข่เค็ม


กิจวัตรประจำสุดสัปดาห์ของแม่บ้าน คงไม่พ้นเคลียร์อาหารสดที่ยังค้างในตู้เย็นนะคะ แม่ครัวเก็บข้าวจัดของ ไปเจอไข่เค็มเหลืออยู่หลายฟอง เลยนึกถึงเมนูนี้ขึ้นมาได้ วันนี้ไม่พูดมากแล้วค่ะ เข้าสู่เมนูอาหารของเราเลย

ส่วนผสม "หมึกผัดไข่เค็ม"

  • หมึกหั่นเป็นชิ้นพอคำ บั้งเป็นตาราง (เดี๋ยวนี้supermarket ใหญ่ๆ เค้ามีแบบเตรียมเสร็จ ด้วยค่ะ ลดแรงแม่ครัวไปเยอะ)
  • ไข่เค็ม เอาเฉพาะไข่แดง 3 ฟอง
  • น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม
  • ต้นหอม
  • พริกขี้หนู หรือพริกชี้ฟ้าสีแดง หั้นตามยาว
  • น้ำปลา พริกไทย น้ำตาล

วิธีทำ
  1. ล้างปลาหมึกให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นขนาด 1-2 นิ้วแล้วบั้งเป็นตาราง แม่ครัวซืเอแบบเตรียมสำเร็จมาเลย แกะห่อปุ๊บ เป็นชิ้นๆมาให้ สบายดีค่ะ แต่แพง ฮ่าๆๆ แนะนำให้ลวกหมึกก่อนนะคะ ก่อนเอาไปผัด
  2. ผสมน้ำพริกเผาและไข่แดงไข่เค็มเข้าด้วยกัน พยายามบี้ไข่แดงให้เข้ากันกับน้ำพริกเผา ใครชอบรสเผ็ดก็ต้องเลือกน้ำพริกเผ็ดหน่อย แต่แม่ครัวคิดว่าไม่ควรใส่น้ำพริกเผาเยอะ เพราะสีจะออกมาไม่สวย และไม่ควรโหมใส่ไข่เยอะ เพราะจะข้นและผัดยาก เอาพอดีๆนะคะ คงต้องกะมือกันเอง
  3. จากนั้นตั้งน้ำมันในกะทะให้ร้อน ใส่กระเทียมลงไปเจียวและนำน้ำพริกเผาพร้อมไข่ที่เราเตรียมไว้ลงไปผัด ผัดสักครู่ลดไฟนะคะเดี๋ยวไข่ไหม้ พอมีกลิ่นหอมปุ๊บเอาหมึกลงไปผัด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
  4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลตามชอบ ปกติน้ำพริกเผาจะมีรสออกเผ็ดหวานอยู่แล้ว ส่วนไข่เค็มก็จะให้รสเค็ม ควรชิมรสก่อนปรุงนะคะ แม่ครัวไม่ใส่น้ำมันหอยเลยเพราะกลัวสีหมึกไม่สวย อยากให้ดูเหลืองๆแดงๆ น่ากินมากกว่าสีออกคล้ำๆ แต่ต้องชิมอยู่หลายทีกว่าจะได้รสที่พอใจค่ะ
  5. หลังจากนั้นใส่ต้นหอม พริกลงไปผัด ใครมีคึ่นฉ่ายก็ใส่ลงไป แล้วยกลงเสิร์ฟ
  6. เค้าบอกว่าต้องรับประทานแกล้มเบียร์ แต่แม่ครัว No Alcohol เลยขอรับประทานกับน้ำอัดลมแทน แม่บ้านท่านไหนมีพ่อบ้านชอบชวนก๊วนเพื่อนมาเฮฮา เมนูนี้แนะนำค่ะ


วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สุขภาพดีกับ เห็ดชิตาเกะอบซีอิ๊ว ( Fried Shiitake in soy sauce)



เห็ดเป็นของโปรดของหลายๆคนนะคะ ถ้าไปทบทวนวิชาชีววิทยา จะรู้ว่า เห็ดไม่ใช่พืช แต่เห็ดเป็นดอกของเชื้อรา จึงไม่สังเคราะห์แสง นักชีววิทยาเรียกเชื้อราที่มีดอกคล้ายร่ม(ฝรั่งเค้าเรียกว่า cap แบบหมวกแก๊ป)และใต้หมวกมีลักษณะเป็นครีบๆ คล้ายเหงือกปลา ว่า เห็ด หรือ Mushroom ถ้าเราหงายเจ้าหมวกนี่ขึ่น เราจะเห็นว่าตามร่องของครีบเล็กๆนั้น อุดมไปด้วยสปอร์ของเชื้อรา และพร้อมจะปลิวไปเจริญเติบโต ... เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว แม่บ้านพ่อบ้านหลายท่านเริ่มรับประทานเห็ดไม่ลงกันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามคงปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่าเห็ดเป็นอาหารที่มีคุณค่า มีเกลือแร่สูง และแคลอรี่ต่ำ อาหารจานเห็ดที่แม่ครัวจะนำเสนอวันนี้ ทำมาจากเห็ดเชื้อสายเอเชีย ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ชิตาเกะ เห็ดชิตาเกะ ( shiitake)เป็น edible mushroom คือเห็ดกินได้ ( เห็ดกินไม่ได้ทุกดอกนะคะ ขอเตือนไว้ก่อน 55) เค้าว่าชิตาเกะเนี่ย เป็นเห็ดที่มีสรรพคุณเป็นยาและถูกใช้ในการแพทย์แผนจีนมายาวนานแล้วค่ะ เห็ดชนิดนี้อุดมด้วยสารอาหารคือ ธาตุเหล็ก เกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ซีลิเนียม วิตามินบี 2,5,6 ไนอะซิน และมีแคลอรี่ต่ำมาก (น้อยกว่า 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม) เห็ดอะไร มหัศจรรย์จริง ^^

เมนูวันนี้เป็นเมนูง่ายๆ นะคะ ใช้เวลาปรุงรวดเร็ว เพราะถ้าเราปรุงนานไป สารอาหารโดยเฉพาะวิตามิน อาจถูกทำลายด้วยความร้อนจากการปรุงอาหาร เอาล่ะค่ะ มารับเมนูกันเลย "เห็ดชิตาเกะอบซีอิ๊ว"

เครื่องปรุง เห็ดชิตาเกะอบซีอิ๊ว
เห็ดชิตาเกะ ล้างสะอาด
ซีอิ๊วขาวถั่วเหลือง
พริกไทยดำ
กระเทียม
น้ำมันหอย
แป้งอเนกประสงค์

วิธีทำ
  1. บางสูตรขั้นแรก เค้าแนะนำให้เอาเห็ดไปแช่ซีอิ๊วไว้ซักครู่ แต่แม่ครัวกลัวเค็ม เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องแช่ซีอิ๊วก่อน แต่ตอนผัดต้องคลุกเค้าดีๆ เท่านั้นค่ะ
  2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันมะกอก รอจนน้ำมันร้อนแล้ว ใส่กระเทียมและนำเห็ดชิตาเกะไปลงไปผัด เติมซีอิ๊วขาวและน้ำมันหอยลงไปเล็กน้อย ราวอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดจนเข้ากันดี ถึงตอนนี้ยกเสิร์ฟร้อนๆ ได้เลย แต่แม่ครัวชอบน้ำราดแบบหนึบๆ เลยปรับสูตรโดยเติมแป้งเอนกประสงค์ที่ละลายน้ำแล้วลงไป จะทำให้น้ำที่ได้จากการผัดออกเหนียวๆ หนึบๆ คล้ายน้ำราดหน้า (ถ้าใครไม่ชอบก็ผ่านขั้นตอนนี้ได้ค่ะ)
  3. เวลาเสิร์ฟโรยพริกไทยดำเพื่อชูกลิ่น รับประทานกับข้าวต้มหรือข้าวสวยร้อนๆ ค่ะ


คนรักเห็ดคงสมใจแล้วนะคะ ใครมีเมนูอะไรที่ทำจากเห็ดมาเสนอแม่ครัว ช่วยมาโพสท์กันได้ค่ะ จะซาบซึ้งมากๆ สุขสันต์วันอาทิตย์ รับประทานให้อร่อยนะคะ ^^




วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กล้วยเชื่อม แบบกล้วยๆ (Banana syrup)



ทำมันเชื่อมมาแล้ว เปลี่ยนมาทำกล้วยเชื่อมบ้าง ไม่ยากเลยค่ะ เพราะใช้กรรมวิธีเดียวกัน อาจต่างที่รายละเอียดบ้างเล็กน้อย กล้วยที่นิยมนำมาเชื่อมคือกล้วยไข่ มีลักษณะผลเรียวเล็ก เนื้อนิ่มหวาน ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีนะคะ เวลาเลือกกล้วยมาเชื่อมให้เลือกกล้วยห่าม ที่เปลือกสีเขียวอมเหลืองเพราะเนื้อจะแข็ง ไม่เละเวลาเชื่อม โดยเฉพาะถ้าไม่มีน้ำปูนใสแช่กล้วยไว้ก่อน การเชื่อมนานๆ ทำให้เนื้อกล้วยเละ ไม่น่ารับประทานค่ะ บางคนเคยเห็นกล้วยเชื่อมสีออกแดงๆ นั่นเป็นเพราะเค้าเชื่อมด้วยน้ำตาลทรายแดงเพื่อเพิ่มสีสัน โดยส่วนตัวชอบสีเหลืองสวยๆ ของกล้วยมากกว่าสีแดงๆ ค่ะ

เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ไปจ่ายตลาดกันดีกว่า

ส่วนผสม " กล้วยไข่เชื่อม"

* กล้วยไข่ห่าม 8-10 ผล (ปอกเปลือกและบั้งตามขวาง)

* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง

* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำกะทิ 1/2 ถ้วยตวง

(สำหรับทำน้ำกะทิราดหน้า)

* เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

(สำหรับทำน้ำกะทิราดหน้า)

วิธีทำ

  1. ปอกกล้วย และบั้งให้เป็นริ้วๆ นำไปแช่น้ำปูนใส (ถ้ามี) ถ้าใช้กล้วยห่ามไม่ต้องแช่ก็ได้ค่ะ
  2. ตั้งหม้อเพื่อทำน้ำเชื่อม ใช้อัตราส่วนน้ำตาล 2 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน รายละเอียดลองกลับไปดูหัวข้อมันเชื่อมนะคะ พอเดือด กรองตะกอนออกด้วยผ้าขาวบาง และใส่กล้วยลงไป เติมน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย
  3. รอจนน้ำตาลเคลือบกล้วยจนทั่ว ยกมาตั้งให้เย็น เวลาเสิร์ฟราดด้วยน้ำกะทิข้นๆ
มีคนแนะนำผ่านทาง facebook ว่าให้ใส่น้ำแข็งและราดด้วยกะทิ เป็นไอเดียที่น่าลองทำตามมากๆค่ะ กล้วยเป็นผลไม้ที่เอามาประกอบอาหารได้หลากหลายมาก ไว้จะเอาเมนูกล้วยๆ มาแชร์คุณๆ แม่บ้านอีกนะคะ



ผัดขี้เมา (Fried drunken pork)


ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดผัดขี้เมามาจากไหน แล้วยังสงสัยอีกว่าทำไมต้องผัดขี้เมา เพราะส่วนผสมไม่ได้มีเหล้าเลยสักนิด ลองไปค้นดูเค้าบอกว่าอาหารจานนี้เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารไทย ลาว และจีน เกิดจากการที่ชาวจีนอพยพมายังละแวกนี้และดัดแปลงอาหารจานนี้ขึ้นค่ะ
ไปค้นคว้าเพิ่มอีก ในหนังสือชื่อ “อาหารรสวิเศษของคนโบราณ” เขียนโดยอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ท่านเขียนไว้ว่าผัดใบกะเพราเป็นของที่เพิ่งนิยมกัน เมื่อ 30 กว่าปีมานี้เอง สมัยก่อนนั้นถ้าใครพูดถึงผัดขี้เมา เขาก็จะนึกถึงเนื้อวัวที่สับละเอียด ที่เอามาผัดกับพริกขี้หนูสวนเม็ดจิ๋ว ๆ โขลกทั้งก้านปนกับกระเทียมเท่านั้น ไม่มีการใช้เนื้อสัตว์ชนิดอื่น และถ้าเป็นผัดกะเพราก็จะใช้เฉพาะเนื้อไก่ ที่เอามาหั่นเป็นชิ้น ๆ เอามาผัด ด้วยเครื่องพริกแบบเดียวกัน ทั้งผัดขี้เมาและผัดกะเพรานี้จะถูกปรุงรสให้จัดจ้าน ด้วยพริกโขลกเป็นหลัก พร้อมเหยาะซีอิ้วดำลงไปนิด ๆ เพื่อให้เกิดสี อาจเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่สามเกลอ (รากผักชี+กระเทียม+พริกไทย) โขลกละเอียดลงไปผัดกับพริกด้วย และส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ ใบกะเพราที่เด็ดจนถึงก้าน จะต้องเป็นกะเพราแดงเท่านั้นเสียด้วย ถึงจะได้กลิ่นรสร้อนแรงตามสูตร แต่ปัจจุบันทั้งผัดขี้เมาและผัดกะเพราถูกประยุกต์ไปเป็นเมนูต่างๆมากมาย แล้วยังประยุกต์ไปรับประทานกับอาหารฝรั่งเกิดเป็น fusion food เช่น สปาเกตตี้ผัดขี้เมา เป็นต้นค่ะ เอาล่ะ มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

ส่วนผสม
เนื้อสัตว์ตามชอบ แม่ครัวใช้เนื้อหมูเพราะต้องการเคลียร์ตู้เย็นค่ะ
ถั่วฝักยาว
ใบกะเพรา
ใบโหระพา
เห็ดนางฟ้า
พริกขี้หนู
กระเทียม
น้ำมันหอย
น้ำปลา น้ำตาล พริกไทยป่น ตามชอบ
วิธีทำ ก็ไม่ยากเลยค่ะ เอาส่วนผสมที่ว่ามานั้นโยนลงไปผัด ฮ่าๆๆๆ เน้นว่าต้องหนักกลิ่นกะเพรา โหระพา พริกขี้หนู พริกไทย รับรองอร่อยเหาะ

ทนไม่ไหวแล้วววว อยากกินบ้างแล้วค่ะ ^^ ขอตัวก่อนนะคะ ไว้มาเข้าครัวกันใหม่ค่ะ

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มันเชื่อมแบบมั่วๆ ( sweetened yam)


จู่ๆ ก็นึกครึ้มอยากทำขนมหวานแบบไทยรับประทาน แล้วเมนูที่แว่บมาในสมองคือ มันเชื่อม ด้วยความเข้าใจ (ผิดๆ) ว่าแค่เอามันมาเชื่อม น่าจะง่าย.. จริงๆแล้วความยากมันเริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อมันค่ะ ไม่เคยทราบเลยว่า "มัน"นั้นมีหลายชนิด ยิ่งพอเป็นภาษาอังกฤษก็ยากไปใหญ่ แถมหน้าตาก็เหมือนๆกันไปหมด วันแรกที่ไปซื้อ ไปหยิบมันเทศมาค่ะ เป็นมันชนิดที่เค้าใช้นึ่งรับประทานกัน เนื้อสีเหลือง เละๆ พอเอามาทำปุ๊บ.. รับประทานไม่ได้เลย จนต้องมาสอบถามผู้รู้ และค้นคว้าเพิ่มเติม เลยทราบว่ามันที่เค้านิยมเอามาเชื่อมนั้น เป็นมันสำปะหลัง ซึ่งฝรั่งเรียก Cassava ค่ะ ส่วนมันอีกประเภทที่นิยมนำมาประกอบอาหารคือ sweet potato บางคนก็เรียกว่า yam สรุปว่าต้องกลับไปซื้อมันเจ้าปัญหาอีกรอบ แต่หามันสำปะหลังไม่ได้ เลยลงเอยด้วยการเอา sweet potato มาเชื่อมแทน (ลำบากดีแท้)

พูดถึงการเชื่อมด้วยน้ำตาล เป็นรูปแบบหนึ่งของการถนอมอาหาร ทำให้เก็บรักษาอาหารได้นานขึ้นและยังเปลี่ยนรสชาติอาหารให้แปลกใหม่ โดยจะนำผลไม้มาต้มในน้ำตาลจนเนื้อผลไม้นั้นนุ่ม เป็นประกายวิ้งๆ เพราะน้ำตาลไปเคลือบจนทั่ว อีกทั้งระหว่างการเชื่อมผลไม้จะจุน้ำตาลไว้ ดังนั้นน้ำเชื่อมต้องใส และไม่ควรเข้มข้นมากเพราะจะทำให้เนื้อผลไม้เหี่ยว เหนียวหรือแข็งเกินไป ถ้าผลไม้เนื้อนิ่ม เละง่ายควรแช่ด้วยน้ำปูนใส เพื่อให้คงรูปดี ส่วนถ้าอยากให้เนื้อผลไม้เป็นประกายต้องเคี่ยวด้วยไฟปานกลางเพราะถ้าไฟอ่อนจะทำให้ผลไม้สีคล้ำไม่สวยได้ค่ะ

ไม่รอช้า รับสูตรได้เลยค่ะ

" มันเชื่อม"
ส่วนผสม
มันสำปะหลัง (cassava) หรือ มันหวาน (sweet potato) วันนี้ใช้มันหวานนะคะ
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
น้ำสะอาด
น้ำมะนาว
เกลือป่น
หัวกะทิ

วิธีทำ
  1. ปอกเปลือกมันหวานออก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นๆ ตามชอบ ตามสูตรเค้าให้เอาไปแช่น้ำปูนใส แต่เราไม่มี เลยไม่แช่ค่ะ โชคดีที่ไปอ่านเจอว่ามันหวานแถบนี้ เนื้อแข็ง ไม่เละง่าย เลยโล่งอกไป
  2. ตั้งหม้อ ใส่น้ำสะอาด 2-3 ถ้วยตวง กะให้ท่วมชิ้นมันหวานนะคะ แล้วเติมน้ำตาลลงไป ใช้อัตราส่วนน้ำตาล 2 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน เพื่อไม่ให้น้ำเชื่อมข้น และเกิดการดึงน้ำออกจากเนื้อมัน (ตามหลักวิทยาศาสตร์เลย) เคี่ยวให้กลายเป็นน้ำเชื่อม แล้วกรองเอาสิ่งสกปรกออกด้วยผ้าขาวบาง
  3. นำน้ำเชื่อมที่ได้มาตั้งไฟอีกรอบ คราวนี้ใส่มันหวานลงไป พยายามให้น้ำเชื่อมท่วมมันนะคะ อย่าพลิกหรือกลับบ่อยเกินไป เพราะเนื้อมันจะเละ เติมน้ำมะนาวเพื่อให้น้ำตาลเกาะแน่นมากขึ้น คอยดูจนกว่าน้ำเชื่อมเคลือบทั่วมัน เห็นเป็นเงาประกาย
  4. นำหัวกะทิมาอุ่น แล้วปรุงด้วยเกลือป่น รสออกเค็มๆมันๆ เพื่อตัดรสหวานของมันเชื่อม ราดให้ทั่วหรืออาจลองใช้นมสดก็ได้นะคะ แค่นี้ก็อร่อยพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ ^^



วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กิมจิ จิเกะ ( Kimchi jjigae)



อันยอง ฮาเซโย !!
เอาใจคอซีรีย์เกาหลีด้วยเมนูยอดฮิต "กิมจิ จิเกะ" หรือ "แกงกิมจิ" มาจากคำ 2 คำ คือ จิเกะ (jjigae) ที่แปลว่าสตูว์ที่ปรุงสไตล์เกาหลี และ กิมจิ (kimchi, kim chee, gimchi) ซึ่งเป็นผักดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศให้มีรสชาติต่างๆ
กิมจิ เป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลี โดยเป็นเครื่องเคียงที่นิยมรับประทานกับอาหารเกาหลีแทบทุกเมนู มิหนำซ้ำยังเอามาประยุกต์เป็นเมนูอร่อยๆ อีกมากมายนะคะ เช่น ข้าวผัด ซุป กิมจินั้นมีหลายชนิดค่ะ ขึ้นกับว่านำผักชนิดไหนมาดอง แต่ที่เราเห็นกันบ่อยๆ เค้าจะนำผักกาดขาวมาดอง กับขิง แรดดิช กระเทียม น้ำปลา กะปิเกาหลี (saeujeot)เรียกว่า baechu เห็นสาวๆเกาหลี หน้าตาสวยน่ารัก (ไม่นับที่ผ่านมีดหมอ) ผิวพรรณดีๆ หุ่นดีๆ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเค้ารับประทานกิมจิกัน ว่ากันว่ากิมจิอุดมด้วยไฟเบอร์ มีแคลอรี่ต่ำ วิตามินซีและเบต้า แคโรทีนสูง จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักและต้องควบคุมอาหารค่ะ พูดกันมายืดยาวเลย เรามาดูส่วนผสมและวิธีทำนะคะ

กิมจิ จิเกะ
ส่วนผสม
กิมจิ ชนิดไหนก็ได้ที่หาซื้อได้
เนื้อหมู (สูตรต้นตำหรับต้องหมูสามชั้นนะคะ แต่แม่ครัวคางสามชั้นแล้ว ของด )
ต้นหอม
กระเทียม
เห็ดเข็มทอง
ซอสพริกเกาหลี (โคชูจัง) ถ้าไม่มีให้ใช้ซอสพริกศรีราชา หรือ น้ำพริกเผา
เต้าหู้ขาว แบบอ่อน
โชยุ

วิธีทำ
  1. ตั้งกะทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกเล็กน้อย หรือ ไม่ใส่เลยก็ได้นะคะ แล้วนำหมูที่หั่นเตรียมไว้ลงไปผัด ใส่ซอสพริกผัดให้เข้ากัน พอหมูเริ่มสุกส่งกลิ่นหอม ใส่กิมจิและกระเทียมลงไปผัด
  2. เติมน้ำซุปกระดูกหมูลงไป ประมาณ 250 ซีซี ถ้าบ้านไหนไม่มีกะทะก้นลึก สามารถเปลี่ยนมาต้มในหม้อได้นะคะ ใส่เห็ดเข็มทอง เต้าหู้ แล้วปรุงรสตามชอบ แค่นี้เอง เสร็จแล้วค่ะ
  3. เวลาเสิร์ฟ ตักใส่ชามสวยๆ ใครมีชามแบบเกาหลี ก็จะได้บรรยากาศแบบซีรีย์เกาหลีมากขึ้น และรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

นั่งรับประทานกิมจิ จิเกะ กับข้าวสวยร้อนๆ อยู่ริมหน้าต่าง วันฝนพรำ อากาศเย็นๆ ยิ่งถ้ามีเพื่อนมานั่งรับประทานด้วยกัน วันฝนตก จะกลายเป็นวันที่สวยงามมากๆ ^^

ขอให้เอร็ดอร่อยกันทุกคนนะคะ แม่ครัวชักน้ำลายสอแล้ว

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สูตร(ไม่)ลับ Spaghetti Carbonara



ใครกลัวอ้วน ใครคุมอาหาร ใครกำลังลดน้ำหนัก ให้ข้ามเมนูวันนี้ไปได้เลยนะคะ เพราะวันนี้เราจะมาทำสปาเกตตี้คาร์โบนารากันค่ะ คาร์โบนารา ก็คือซอสพาสต้าสีขาวที่ทำจากครีม ไข่ เบคอนและชีส นิยมรับประทานกับสปาเกตตี้ เลยเป็นที่มาของชื่อเมนูค่ะ ถ้าใครอยากลองทำอาหารอิตาเลียน แต่เป็นแม่ครัวมือใหม่ แนะนำให้เริ่มที่เมนูนี้ก่อนเลยนะคะ เพราะส่วนผสมไม่มาก วิธีทำง่าย และใช้เวลาแป๊บเดียวก็ได้รับประทานแล้วค่ะ

ส่วนผสม
  • เส้นสปาเกตตี้
  • Thick cream
  • ไข่ 1 ฟอง
  • Parmesan cheese ขูดฝอย
  • พาร์สลีย์
  • เบคอน
  • น้ำมันมะกอก
  • พริกไทยดำ
  • เกลือ
วิธีทำ
  1. ต้มเส้นสปาเกตตี้ในน้ำที่ใส่เกลือจนเส้นสุก ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีนะคะ เวลาต้มเส้นอย่าใจร้อน สปาเกตตี้ไม่ใช่มาม่า ถ้ายกขึ้นเร็ว แข็งกินไม่ได้ ส่วนถ้าเม้าเพลินก็เละ ไม่น่ารับประทาน ^^
  2. ระหว่างรอเส้นสุก มาทำส่วนของซอสคาร์โบนารา ใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง และ thick cream 2 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันด้วยตะกร้อ จนเนื้อเนียนดีแล้วเติมเกลือและพริกไทยดำ พักไว้
  3. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกเล็กน้อย เพราะเบคอนมีน้ำมันอยู่แล้ว แล้วนำเบคอนที่หั่นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆลงไปทอดจนเป็นสีเหลือง กรอบ
  4. พอถึงขั้นตอนนี้เส้นสปาเกตตี้จะสุกพอดีค่ะ เอาเส้นไปเดรนน้ำออก
  5. ตักน้ำมันในกระทะออกเล็กน้อย ปิดไฟทันที และเอาเส้นที่สปาเกตตี้ที่ต้มสุกไปคลุก พร้อมเทซอสที่เตรียมไว้ลงไป คนเร็วๆ จนไข่สุก แต่อย่าให้เป็นก้อนนะคะ เราไม่ได้ทำออมเลต ฮ่าๆๆ (บางสูตรไม่ตั้งกระทะ เค้าเอาสปาเกตตี้มาคลุกซอสเลย โดยให้ความร้อนจากเส้นทำให้ไข่สุก แต่แม่ครัวทำใจไม่ได้ค่ะ เลยขอดัดแปลงนิดหน่อย )
  6. ยกเสิร์ฟ โดยโรยหน้าด้วยพาร์มีซาน ชีส และใบพาร์สลีย์ ตกแต่งให้สวยงามค่ะ

เมนูนี้ถ้าอยากกินให้อร่อยต้องลืมเรื่องแคลอรี่ เพราะส่วนผสมอุดมด้วยไขมันล้วนๆ แม่บ้านที่อยากขุนคุณพ่อบ้านให้อ้วน ก็ลองเอาไปทำรับประทานได้ ส่วนบ้านไหนเฮฟวี่เวทกันอยู่แล้ว รับประทานนานๆครั้ง ให้อภัย ไม่ว่ากันค่ะ

Bon Appetite ^^

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ข้าวไก่อบซอสมะเขือเทศ (สูตรไม่ใช้เตาอบ)



วันอาทิตย์แบบนี้ ใครๆก็อยากนอนเล่นสบายๆที่บ้านและทำอาหารง่ายๆรับประทานกันในครอบครัว เมนูวันนี้เลยเป็นเมนูง่ายๆและเหมาะสำหรับแม่บ้านมือใหม่ที่ไม่ชอบทำอาหารยุ่งยากหลายขั้นตอน แถมยังเป็นเมนูที่อร่อย มีคุณค่าทางอาหารด้วย วันนี้เรามาทำ "ข้าวไก่อบซอสมะเขือเทศ" กันค่ะ เตรียมจดส่วนผสมกันได้เลย
  • น่องไก่
  • ซอสมะเขือเทศ
  • เนยเค็ม
  • แป้งข้าวโพด หรือ แป้งอเนกประสงค์
  • กระเทียม
  • หัวหอม ( ถ้าไม่ชอบ ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ)
  • ซุปไก่ก้อน
  • ซีอิ๊วดำ ขาว
  • น้ำมันหอย
  • พริกไทยดำ
  • เกลือ
  • น้ำตาล
  • พริกป่น (ถ้าชอบเผ็ด)
วิธีทำ
  1. ต้องหมักน่องไก่ก่อนด้วยซีอิ๊วดำ น้ำมันหอย พริกไทยดำ กระเทียมและรากผักชีตำละเอียด ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงค่ะ ส่วนตัวจะบรรจุน่องไก่ที่ต้องการหมักในถุง Ziplock เพราะสามารถขยำให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วไม่เลอะมือด้วยค่ะ
  2. ตั้งกระทะไฟแรงปานกลาง ใส่เนยลงไปผัด ขั้นตอนนี้ให้ใส่หอมหัวใหญ่ไปผัดพร้อมเนยนะคะ แต่วันนี้ที่บ้านไม่มีหอมหัวใหญ่เลยไม่ใส่ค่ะ ( ฮ่าๆๆ สมเป็นแม่ครัวขี้เกียจจริงๆ) จากนั้นนำน่องไก่ที่หมักดีแล้วลงไปทอดให้ส่วนหนังเกรียมทั้งสองด้าน ใส่ซอสมะเขือเทศลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ อย่าใส่มากนะคะ จุดประสงค์ต้องการสี ไม่ใช่รสเปรี้ยวค่ะ เมื่อซอสและน่องไก่เข้าเนื้อดี พักไว้
  3. ต้มน้ำประมาณ 250 มิลลิลิตร พร้อมซุปไก่ก้อน พอน้ำเดือด ให้นำน่องไก่ที่เราผัดใส่ลงไปค่ะ ตุ๋นด้วยไฟอ่อนจนน้ำซุปงวด พักไว้
  4. ตั้งกระทะอีกรอบ นำน้ำซุปที่ได้มาเคี่ยวกับแป้งข้าวโพดหรือแป้งอเนกประสงค์ ใส่แป้งประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะก็พอค่ะ ปรุงรสตามชอบ
  5. เวลาเสิร์ฟ เรานำน่องไก่มาราดด้วยน้ำซุป มันจะข้นๆคล้ายเกรวี่ รสชาติเค็ม มัน หวานนิดๆ

ได้เมนูอาหารกลางวันอร่อยๆมาอีกเมนูแล้วนะคะ เมนูนี้มีคนทำไว้หลายวิธี แม่บ้านทั้งหลายอาจลองไปเยี่ยมชมตามเวบไซต์ต่างๆ และประยุกต์มาเป็นสูตรของเราเอง ขอให้สนุกกับอาหารฝีมือตัวเองนะคะ อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้างแต่มันชื่นใจ ^^

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สปาเกตตี้แกงเขียวหวานหมู



ความรู้รอบตัวเล็กๆน้อยๆ ที่แม่บ้านควรทราบคือ สปาเกตตี้ (Spaghetti) เป็นพาสต้าชนิดหนึ่ง พาสต้าเป็นชื่อรวมๆ ที่ใช้เรียกก๋วยเตี๋ยวฝรั่งทำจากแป้ง จากนั้นมีการใส่ส่วนผสมหลากหลายชนิด รวมทั้งผลิตออกมาเป็นรูปร่างแบบต่างๆ ชวนให้งงเล่น พาสต้านั้น ถ้าแบ่งจากรูปร่างลักษณะแล้ว มีราว 20 กว่าชนิดค่ะ ที่เรารู้จักกันดี คงเป็น macheroni (พาสต้าหลอดๆ), Lasagna ( พาสต้าแบบแผ่น),Fusilli (พาสต้าเกลียว), Penne (พาสต้าหลอดปลายตัด) และ spaghetti (พาสต้าเส้นยาวบางๆ)
ถึงแม้พาสต้า จะเป็นสัญลักษณ์ของครัวอิตาเลียน แต่จริงๆ แล้วพาสต้ามีต้นกำเนิดจากจีนแผ่นดินใหญ่ ว่าไปแล้วก็เป็นพี่น้องกับก๋วยเตี๋ยวของชาวจีนนั่นเอง เมื่อนักเดินเรือ Marco Polo ได้เดินทางไปประเทศจีน เค้าก็ได้นำอาหารชนิดนี้กลับมาโด่งดังในทวีปยุโรป ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้การปรุงพาสต้าแตกต่างกันไป และมีความหลากหลายอย่างมากค่ะ
สำหรับครัวไทย พาสต้านำมาประกอบอาหารไทยได้อร่อยหลายเมนู วันนี้เมนูที่จะนำเสนอคือ สปาเกตตี้แกงเขียวหวานหมู วิธีการทำวันนี้จะเน้นที่การเตรียมเส้นสปาเกตตี้ ให้เหนียว นุ่ม ดึ๋งดั๋งนะคะ ก่อนอื่นเอาส่วนผสมไปก่อนค่ะ
  • เส้นสปาเกตตี้
  • เนื้อหมูหั่นเต๋า
  • น้ำพริกแกงเขียวหวาน
  • กะทิอย่างดี
  • น้ำมัน
  • น้ำปลาดี
  • ใบโหระพา
  • พริกชี้ฟ้า
  • เห็ด
วิธีการเตรียมเส้นสปาเกตตี้ : ต้มน้ำให้สุกในหม้อขนาดใหญ่ ใส่น้ำ 1/2 หรือ 3/4 ของหม้อ ต้มจนน้ำเดือดปุดๆ จากนั้นเติมเกลือป่นลงไปสักเล็กน้อย ทิ้งไว้จนน้ำเดือด แล้วใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไป วางเส้นแนวตั้งค่ะ อย่าให้เส้นหักนะคะ ส่วนมากใช้เวลาต้มไม่เกิน 10 นาที คนเส้นนานๆทีเพื่อไม่ให้เส้นติดก้นหม้อ อาจทดสอบด้วยการจับเส้นสปาเกตตี้ดูค่ะว่าหยุ่นๆรึยัง ภาษา Chef เค้าเรียกว่า pasta reaches al dente คือ เส้นเหนียวนุ่ม แต่ไม่แข็ง เมื่อสุกแล้วเราเทน้ำต้มออกค่ะและนำเส้นไปผ่านน้ำเย็น และพักให้สะเด็ดน้ำ

หลังจากนั้นเรามาเตรียมส่วนของแกงเขียวหวาน วิธีการไม่ยุ่งยาก เริ่มจากคั่วน้ำพริกแกงจนหอม และหยอดหัวกะทิลงไปผัดจนแตกมัน จากนั้นนำเนื้อหมูลงไปผัด เมื่อเนื้อหมูสุก เติมหางกะทิไปอีกเล็กน้อย พร้อมผักที่เราเตรียมไว้ ปรุงรสตามชอบค่ะ เวลาเสิร์ฟ จะชอบเอาแกงเขียวหวานมาคลุกเส้น เพราะเส้นจะไม่เละและดูสวย ถ้าเอาลงไปผัด อาจเละ และไม่สวยได้ อันนี้แล้วแต่เทคนิคแม่บ้านนะคะ

เมนูง่ายๆแบบนี้ รีบลองทำรับประทานเลยค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข้าวอบเห็ดหอมกับหมูย่างสูตรคุณแม่




คุณพ่อบอกตลอดว่า กินหมูย่างที่ไหน ไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่ เลยถามแม่ว่าใส่อะไรถึงอร่อย แม่ตอบว่า " ใส่ใจ" เล่นเอาลูกเขินไปเลย ฮ่าๆๆๆ วันนี้ได้โอกาสเลยขอร้องให้แม่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ และเอาสูตรมาฝากเพื่อนๆ และเพื่อความอลังการ จะรับประทานกับข้าวอบเห็ดหอมค่ะ แม่บอกว่าหมูสูตรแม่รสจะออกหวาน มัน ถ้ารับประทานกับข้าวรสเค็มนิดๆ หอมๆ อย่างข้าวอบเห็ดหอมรับรองอร่อยเหาะ ไม่พูดมากแล้วค่ะ มาดูส่วนผสมดีกว่า


ส่วนผสมเนื้อหมู


เนื้อหมูสันนอก 500 กรัม ( แม่บอกว่ายิ่งสันนอกที่มีเอ็นด้วยจะย่างอร่อย เพราะมันจะกรุบๆเวลาเคี้ยว)

ซีอิ๊วขาว

น้ำมันหอย

รากผักชี

พริกไทย

น้ำตาลปี๊บ


วิธีทำ


  • เตรียมเนื้อหมู โดยล้างเนื้อหมุให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นขนาดฝ่ามือ (เล็กๆ) แล้วนำไปหมักกับรากผักชีโขลก, ซีอิ๊วขาว, น้ำมันหอย, น้ำตาลปี๊บ (ใช้ประมาณ 1-2 ช้อนชาต่อหมู 1 กิโลกรัม) ทิ้งไว้ข้ามคืนในตู้เย็นค่ะ เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ ใครที่ชอบหวานหน่อยก็เพิ่มปริมาณน้ำตาลปี๊บได้ หรืออาจใช้น้ำผึ้งแทนได้ค่ะ

  • นำหมูที่หมักไว้มาย่างในเตาอบด้วยไฟแรง 250 C ( 400F) นาน 15-20 นาที ขึ้นกับขนาดและความหนาของหมูที่เราหั่นไว้ แล้วกลับข้าง ย่างต่ออีก 15-20 นาที จะให้ดีใช้เทอร์โมมิ "ตา" ในการดูสีของเนื้อหมูที่เราย่าง บางคนชอบเหลืองอ่อน บางคนก็ชอบเกรียมๆ อันนี้ แล้วแต่ความชอบค่ะ
วิธีทำข้าวอบเห็ดหอม

นำเห็ดหอมแห้งมาแช่น้ำร้อน จนน้ำเห็ดหอมละลายออกมา มีสีน้ำตาลๆนะคะ ดูจนเห็ดหอมบานและนิ่มดีแล้ว นำน้ำเห็ดหอม มาปรุงด้วยซีอิ๊วและเกลือ หรือบางคนก็ใช้ซุปไก่ก้อนสำเร็จรูป แล้วนำน้ำที่ได้ไปหุงข้าวค่ะ ใส่เห็ดหอมลงไปหุงด้วยนะคะ ที่สำคัญต้องใช้น้ำมากกว่าการหุงปกติเล็กน้อบเพื่อให้ข้าวนิ่มและไม่แข็งค่ะ


พอหุงข้าวเสร็จตักรับประทานคู่กับหมูย่าง มีเครื่องเคียงเป็นผักสด หรือสลัด อร่อยแบบเอเชียน อินเตอร์ หรือใครชอบแบบ อีสาน อินเตอร์ ให้รับประทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ และน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บ อร่อยเช่นกันค่ะ ^^ ขอให้สนุกกับเมนูนี้นะคะ

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พฤษภารำลึก


ชั่วเหยี่ยวกระหยับปีกกลางเปลวแดด
ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา
พอใบไม้ไหวพลิกริกริกมา
ก็รู้ว่าวันนี้มีลมวก

เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่นั้นสั่นสะทก
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ

โซ่ประตูตรึงผูกถูกกระชาก
เสียงแห่งความทุกข์ยากก็ยิ่งใหญ่
สว่างแวบแปลบพร่ามาไรไร
ก็รู้ได้ว่าทางยังพอมี

มือที่กำหมัดชื้นจนชุ่มเหงื่อ
ก็ร้อนเลือดเดือดเนื้อถนัดถนี่
กระหืดหอบฮวบล้มแต่ละที
ก็ยังดีที่ได้สู้ได้รู้รส

นิ้วกระดิกกระเดี้ยได้พอให้เห็น
เรี่ยวแรงที่แฝงเร้นก็ปรากฏ
ยอดหญ้าแยงหินแยกหยัดระชด
เกียรติยศแห่งหญ้าก็ระยับ

สี่สิบปีเปล่าโล่งตลอดย่าน
สี่สิบล้านไม่เคยเขยื้อนขยับ
ดินเป็นทรายไม้เป็นหินจนหักพับ
ดับและหลับตลอดถ้วนทั้งตาใจ

นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า
ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่
ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด
หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม

ฉันนั้นความเปื่อยเน่าเป็นของแน่
ย่อมเกิดแก่ความนิ่งทุกสิ่งสม
แต่วันหนึ่งความเน่าในเปือกตม
ก็ผุดพรายให้ชมซึ่งดอกบัว

และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน

พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ห่อหมกแซลมอน (Salmon Curry Pudding)


เดี๋ยวนี้บ้านไหนไม่มีเตาอบไมโครเวฟคงสุดเชย แม่บ้านหลายคนไม่ชื่นชอบการปรุงอาหารด้วยเตาอบชนิดนี้เท่าไหร่ แต่ก็มีแม่บ้านสมัยใหม่หลายคนที่นิยมชมชอบการประกอบอาหารด้วยเตาอบไมโครเวฟเป็นพิเศษ เหตุผลคงเป็นที่ความสะดวก ง่าย รวดเร็ว

เตาอบไมโครเวฟนั้นทำงานโดยการปล่อยคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งจะเคลื่อนด้วยความถี่สูงไปสั่นสะเทือนโมเลกุลของน้ำในอาหาร กลับไปกลับมาเป็นพันๆหมื่นๆ ครั้งจนเกิดเป็นความร้อนและทำให้อาหารสุกค่ะ คลื่นไมโครเวฟนั้นสามารถส่งผ่านวัสดุจำพวกแก้ว กระเบื้อง พลาสติก กระดาษได้ แต่ไม่ผ่านโลหะ ดังนั้นจึงไม่สามารใช้โลหะกับเตาอบชนิดนี้ได้นะคะ
ความแตกต่างของเตาอบทั่วไปกับเตาอบไมโครเวฟ คือ อาหารที่ทำจากเตาอบไมโครเวฟ จะสุกจากด้านในออกมาด้านนอกค่ะ และไม่สามารถทำให้กรอบนอก นุ่มในแบบเตาอบธรรมดาได้นะคะ และการปรับความร้อนแบบ fine tuning ให้โดนใจแม่ครัวระดับเทพ นั้นคงเป็นไปไม่ได้ค่ะ สำหรับเตาชนิดนี้ ทราบหลักการแล้ว มาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้อยากนำเสนอเมนูจากเตาอบไมโครเวฟบ้าง เราจะมาลองทำ " ห่อหมกแซลมอน" กัน

ส่วนผสม
แซลมอนกระป๋อง ใช้ Wild pink Salmon 1 กระป๋อง
น้ำพริกแกงแดง 2 ชช.
หัวกะทิ 100 ซีซี
ไข่ไก่ 1 ฟอง
นมพร่องมันเนย 200 ซีซี
น้ำปลา น้ำตาล ตามชอบ
พริกชี้ฟ้า ใบโหระพา เอาไว้แต่งหน้า

วิธีทำ
โขลกเนื้อแซลมอนทั้งกระป๋องกับพริกแดงจนเข้ากันดี จากนั้นใส่ไข่ไก่ค่ะ ค่อยๆคนจนเป็นเนื้อเดียว แล้วนำหัวกะทิที่เตรียมไว้ค่อยๆหยอดทีละน้อย และคนให้เข้ากัน ถ้าทำแบบนี้แล้วเนื้อห่อหมกจะนุ่มค่ะ เก็บหัวกะทิไว้เล็กน้อยสำหรับแต่งหน้านะคะ เติมนมพร่องมันเนยคนต่อให้เข้ากัน จากนั้นนำไปบรรจุในภาชนะ Microwavable คือสามารถนำเข้าไมโครเวฟได้
ใช้ไฟ High เป็นเวลาทั้งหมด 4 นาทีค่ะ
เสร็จแล้วแต่งหน้าด้วยหัวกะทิ พริกชี้ฟ้าแดง และโหระพา

ปอ่านเจอว่าถ้ามดโชคร้ายตัวนึง เดินไปเกาะตรงฝาเตาไมโครเวฟด้านในขณะเตาทำงาน มดไม่ตายนะคะ เพราะจุดที่มีคลื่นไมโครเวฟแรงที่สุดคือตรงกลางเตาค่ะ แล้วยังมีคนเพี้ยนบอกอีกว่า ถ้าเราเอาศีรษะของเราใส่ไปในเตาไมโครเวฟ (ขณะเตาทำงาน) คลื่นไมโครเวฟจะผ่านศีรษะ และทำลายเซลล์สมองเราได้แต่เราจะไม่รู้สึกอะไร เหมือนเราฟังวิทยุค่ะ ที่จะวางวิทยุไว้ด้านหน้า หรือด้านหลังเรา ก็ยังรับคลื่นได้ เพราะคลื่นวิทยุเคลื่อนผ่านร่างกายเราอีกที ดังนั้นการใช้เตาอบไมโครเวฟต้องใช้อย่างระมัดระวัง อย่าไปยืนรอหน้าเตาอบขณะประกอบอาหาร ( นั่นแน่.. ชอบทำกันสินะ) อย่าเปิดฝาเตาอบขณะเตาทำงาน และเลือกใช้ภาชนะที่เหมาะสมค่ะ
วันนี้ ออกไปทางวิชาการค่อนข้างมาก ใครอ่านแล้วปวดหัว ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่อย่าให้ถึงกับเอาศีรษะไปเข้าเตาก็แล้วกัน ^^ อันนี้หมอไม่รับรักษาค่ะ