วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข้าวอบเห็ดหอมกับหมูย่างสูตรคุณแม่




คุณพ่อบอกตลอดว่า กินหมูย่างที่ไหน ไม่อร่อยเท่าฝีมือแม่ เลยถามแม่ว่าใส่อะไรถึงอร่อย แม่ตอบว่า " ใส่ใจ" เล่นเอาลูกเขินไปเลย ฮ่าๆๆๆ วันนี้ได้โอกาสเลยขอร้องให้แม่ถ่ายทอดวิทยายุทธ์ และเอาสูตรมาฝากเพื่อนๆ และเพื่อความอลังการ จะรับประทานกับข้าวอบเห็ดหอมค่ะ แม่บอกว่าหมูสูตรแม่รสจะออกหวาน มัน ถ้ารับประทานกับข้าวรสเค็มนิดๆ หอมๆ อย่างข้าวอบเห็ดหอมรับรองอร่อยเหาะ ไม่พูดมากแล้วค่ะ มาดูส่วนผสมดีกว่า


ส่วนผสมเนื้อหมู


เนื้อหมูสันนอก 500 กรัม ( แม่บอกว่ายิ่งสันนอกที่มีเอ็นด้วยจะย่างอร่อย เพราะมันจะกรุบๆเวลาเคี้ยว)

ซีอิ๊วขาว

น้ำมันหอย

รากผักชี

พริกไทย

น้ำตาลปี๊บ


วิธีทำ


  • เตรียมเนื้อหมู โดยล้างเนื้อหมุให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นขนาดฝ่ามือ (เล็กๆ) แล้วนำไปหมักกับรากผักชีโขลก, ซีอิ๊วขาว, น้ำมันหอย, น้ำตาลปี๊บ (ใช้ประมาณ 1-2 ช้อนชาต่อหมู 1 กิโลกรัม) ทิ้งไว้ข้ามคืนในตู้เย็นค่ะ เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ ใครที่ชอบหวานหน่อยก็เพิ่มปริมาณน้ำตาลปี๊บได้ หรืออาจใช้น้ำผึ้งแทนได้ค่ะ

  • นำหมูที่หมักไว้มาย่างในเตาอบด้วยไฟแรง 250 C ( 400F) นาน 15-20 นาที ขึ้นกับขนาดและความหนาของหมูที่เราหั่นไว้ แล้วกลับข้าง ย่างต่ออีก 15-20 นาที จะให้ดีใช้เทอร์โมมิ "ตา" ในการดูสีของเนื้อหมูที่เราย่าง บางคนชอบเหลืองอ่อน บางคนก็ชอบเกรียมๆ อันนี้ แล้วแต่ความชอบค่ะ
วิธีทำข้าวอบเห็ดหอม

นำเห็ดหอมแห้งมาแช่น้ำร้อน จนน้ำเห็ดหอมละลายออกมา มีสีน้ำตาลๆนะคะ ดูจนเห็ดหอมบานและนิ่มดีแล้ว นำน้ำเห็ดหอม มาปรุงด้วยซีอิ๊วและเกลือ หรือบางคนก็ใช้ซุปไก่ก้อนสำเร็จรูป แล้วนำน้ำที่ได้ไปหุงข้าวค่ะ ใส่เห็ดหอมลงไปหุงด้วยนะคะ ที่สำคัญต้องใช้น้ำมากกว่าการหุงปกติเล็กน้อบเพื่อให้ข้าวนิ่มและไม่แข็งค่ะ


พอหุงข้าวเสร็จตักรับประทานคู่กับหมูย่าง มีเครื่องเคียงเป็นผักสด หรือสลัด อร่อยแบบเอเชียน อินเตอร์ หรือใครชอบแบบ อีสาน อินเตอร์ ให้รับประทานกับข้าวเหนียวร้อนๆ และน้ำจิ้มแจ่วรสแซ่บ อร่อยเช่นกันค่ะ ^^ ขอให้สนุกกับเมนูนี้นะคะ

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พฤษภารำลึก


ชั่วเหยี่ยวกระหยับปีกกลางเปลวแดด
ร้อนที่แผดก็ผ่อนเพลาพระเวหา
พอใบไม้ไหวพลิกริกริกมา
ก็รู้ว่าวันนี้มีลมวก

เพียงกระเพื่อมเลื่อมรับวับวับไหว
ก็รู้ว่าน้ำใสใช่กระจก
เพียงแววตาคู่นั้นสั่นสะทก
ก็รู้ว่าในหัวอกมีหัวใจ

โซ่ประตูตรึงผูกถูกกระชาก
เสียงแห่งความทุกข์ยากก็ยิ่งใหญ่
สว่างแวบแปลบพร่ามาไรไร
ก็รู้ได้ว่าทางยังพอมี

มือที่กำหมัดชื้นจนชุ่มเหงื่อ
ก็ร้อนเลือดเดือดเนื้อถนัดถนี่
กระหืดหอบฮวบล้มแต่ละที
ก็ยังดีที่ได้สู้ได้รู้รส

นิ้วกระดิกกระเดี้ยได้พอให้เห็น
เรี่ยวแรงที่แฝงเร้นก็ปรากฏ
ยอดหญ้าแยงหินแยกหยัดระชด
เกียรติยศแห่งหญ้าก็ระยับ

สี่สิบปีเปล่าโล่งตลอดย่าน
สี่สิบล้านไม่เคยเขยื้อนขยับ
ดินเป็นทรายไม้เป็นหินจนหักพับ
ดับและหลับตลอดถ้วนทั้งตาใจ

นกอยู่ฟ้านกหากไม่เห็นฟ้า
ปลาอยู่น้ำย่อมปลาเห็นน้ำไม่
ไส้เดือนไม่เห็นดินว่าฉันใด
หนอนย่อมไร้ดวงตารู้อาจม

ฉันนั้นความเปื่อยเน่าเป็นของแน่
ย่อมเกิดแก่ความนิ่งทุกสิ่งสม
แต่วันหนึ่งความเน่าในเปือกตม
ก็ผุดพรายให้ชมซึ่งดอกบัว

และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ
เป็นความงดความงามใช่ความชั่ว
มันอาจขุ่นอาจข้นอาจหม่นมัว
แต่ก็เริ่มจะเป็นตัวจะเป็นตน

พอเสียงร่ำรัวกลองประกาศกล้า
ก็รู้ว่าวันพระมาอีกหน
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย


เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ห่อหมกแซลมอน (Salmon Curry Pudding)


เดี๋ยวนี้บ้านไหนไม่มีเตาอบไมโครเวฟคงสุดเชย แม่บ้านหลายคนไม่ชื่นชอบการปรุงอาหารด้วยเตาอบชนิดนี้เท่าไหร่ แต่ก็มีแม่บ้านสมัยใหม่หลายคนที่นิยมชมชอบการประกอบอาหารด้วยเตาอบไมโครเวฟเป็นพิเศษ เหตุผลคงเป็นที่ความสะดวก ง่าย รวดเร็ว

เตาอบไมโครเวฟนั้นทำงานโดยการปล่อยคลื่นไมโครเวฟ ซึ่งจะเคลื่อนด้วยความถี่สูงไปสั่นสะเทือนโมเลกุลของน้ำในอาหาร กลับไปกลับมาเป็นพันๆหมื่นๆ ครั้งจนเกิดเป็นความร้อนและทำให้อาหารสุกค่ะ คลื่นไมโครเวฟนั้นสามารถส่งผ่านวัสดุจำพวกแก้ว กระเบื้อง พลาสติก กระดาษได้ แต่ไม่ผ่านโลหะ ดังนั้นจึงไม่สามารใช้โลหะกับเตาอบชนิดนี้ได้นะคะ
ความแตกต่างของเตาอบทั่วไปกับเตาอบไมโครเวฟ คือ อาหารที่ทำจากเตาอบไมโครเวฟ จะสุกจากด้านในออกมาด้านนอกค่ะ และไม่สามารถทำให้กรอบนอก นุ่มในแบบเตาอบธรรมดาได้นะคะ และการปรับความร้อนแบบ fine tuning ให้โดนใจแม่ครัวระดับเทพ นั้นคงเป็นไปไม่ได้ค่ะ สำหรับเตาชนิดนี้ ทราบหลักการแล้ว มาเข้าเรื่องดีกว่า วันนี้อยากนำเสนอเมนูจากเตาอบไมโครเวฟบ้าง เราจะมาลองทำ " ห่อหมกแซลมอน" กัน

ส่วนผสม
แซลมอนกระป๋อง ใช้ Wild pink Salmon 1 กระป๋อง
น้ำพริกแกงแดง 2 ชช.
หัวกะทิ 100 ซีซี
ไข่ไก่ 1 ฟอง
นมพร่องมันเนย 200 ซีซี
น้ำปลา น้ำตาล ตามชอบ
พริกชี้ฟ้า ใบโหระพา เอาไว้แต่งหน้า

วิธีทำ
โขลกเนื้อแซลมอนทั้งกระป๋องกับพริกแดงจนเข้ากันดี จากนั้นใส่ไข่ไก่ค่ะ ค่อยๆคนจนเป็นเนื้อเดียว แล้วนำหัวกะทิที่เตรียมไว้ค่อยๆหยอดทีละน้อย และคนให้เข้ากัน ถ้าทำแบบนี้แล้วเนื้อห่อหมกจะนุ่มค่ะ เก็บหัวกะทิไว้เล็กน้อยสำหรับแต่งหน้านะคะ เติมนมพร่องมันเนยคนต่อให้เข้ากัน จากนั้นนำไปบรรจุในภาชนะ Microwavable คือสามารถนำเข้าไมโครเวฟได้
ใช้ไฟ High เป็นเวลาทั้งหมด 4 นาทีค่ะ
เสร็จแล้วแต่งหน้าด้วยหัวกะทิ พริกชี้ฟ้าแดง และโหระพา

ปอ่านเจอว่าถ้ามดโชคร้ายตัวนึง เดินไปเกาะตรงฝาเตาไมโครเวฟด้านในขณะเตาทำงาน มดไม่ตายนะคะ เพราะจุดที่มีคลื่นไมโครเวฟแรงที่สุดคือตรงกลางเตาค่ะ แล้วยังมีคนเพี้ยนบอกอีกว่า ถ้าเราเอาศีรษะของเราใส่ไปในเตาไมโครเวฟ (ขณะเตาทำงาน) คลื่นไมโครเวฟจะผ่านศีรษะ และทำลายเซลล์สมองเราได้แต่เราจะไม่รู้สึกอะไร เหมือนเราฟังวิทยุค่ะ ที่จะวางวิทยุไว้ด้านหน้า หรือด้านหลังเรา ก็ยังรับคลื่นได้ เพราะคลื่นวิทยุเคลื่อนผ่านร่างกายเราอีกที ดังนั้นการใช้เตาอบไมโครเวฟต้องใช้อย่างระมัดระวัง อย่าไปยืนรอหน้าเตาอบขณะประกอบอาหาร ( นั่นแน่.. ชอบทำกันสินะ) อย่าเปิดฝาเตาอบขณะเตาทำงาน และเลือกใช้ภาชนะที่เหมาะสมค่ะ
วันนี้ ออกไปทางวิชาการค่อนข้างมาก ใครอ่านแล้วปวดหัว ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่อย่าให้ถึงกับเอาศีรษะไปเข้าเตาก็แล้วกัน ^^ อันนี้หมอไม่รับรักษาค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

Mother's day roast beef




วันนี้เป็นวันแม่ของแถบอเมริกาเหนือค่ะ ทุกสัปดาห์ที่สองของเดือนพฤษภาคมที่นี่จะฉลองวันแม่กัน ประเพณีการฉลองวันแม่ของคนแถบนี้ ส่วนมากเป็นการแสดงความรักและการระลึกถึงบุญคุณของแม่ รวมทั้งแสดงความขอบคุณกับทุกสิ่งทุกอย่างที่แม่ได้ทำเพื่อลูกและครอบครัว ไม่ได้จำกัดแค่ลูกๆ กับแม่ แต่ยังรวมถึงสามีต่อภรรยาด้วย(น่ารักเนอะ) บางครอบครัว วันนี้เป็นวันที่คุณพ่อ อาสาดูแลลูก และปล่อยให้คุณแม่ได้นอนตื่นสาย บางคนก็มีอาหารเช้ามาเสิร์ฟถึงเตียงนอน และปิดท้ายด้วยการไปรับประทานอาหารนอกบ้านร่วมกัน

สำหรับโฮสท์ชาวแคนาดา เค้าก็ได้รับของขวัญวันแม่ชิ้นแรกเป็นโทรศัพท์ จากสามีที่แยกทางกันไปกว่า 20 ปี แสดงความขอบคุณให้กับวันเวลาในอดีต ที่เป็นแม่ที่ดีของลูกๆมาตลอด และถึงแม้ความรักของพ่อกับแม่จืดจางไป ความรักและหน้าที่รับผิดชอบต่อลูกๆ ไม่ได้แปรเปลี่ยนตามไปด้วยค่ะ

เนื่องจากเราอยู่กันสองคน เราเลยวางแผนฉลองวันแม่ักันเองที่บ้านด้วยการทำอาหารจานเนื้อจากเนื้อคุณภาพดีของอัลเบอร์ตา เมนูนี้คือ Roasted beef with Helga's recipe baked potatoes ถามเจ้าของสูตรว่า roasted beef มันต่างจาก steak ยังไง ( พอดีไม่ถนัดอาหารฝรั่ง) เธออธิบายว่าสเต็กส่วนมาก ใช้การย่างหรือที่เรียกว่า broil แต่ roast เป็นการทำให้สุกด้วยการอบ นอกจากนี้เค้าจะใช้เทอร์โมมิเตอร์เล็กๆ เพื่อกะว่าเนื้อสุกตามที่ต้องการหรือไม่ คุณโฮสท์เค้าบอกว่ากินเนื้อแบบ well-done หรือสุกทั่วชิ้นนั้น มันไม่ได้รสชาติที่แท้จริง และสูญเสียความนุ่ม ของเนื้อค่ะ เค้าเลยนิยมรับประทานแบบ medium rare มากกว่า

วิธีทำ (สูตรส่วนตัวของคุณโฮสท์)
หมักเนื้อด้วย spicy Italian dressing เธอเรียกเทคนิคนี้ว่า lazy marinate ฮ่าๆๆ ทิ้งเนื้อไว้ข้ามคืนค่ะ เพื่อความนุ่ม จากนั้นเวลาเรานำเนื้อมาประกอบอาหาร จะปรุงด้วยพริกไทยดำ กระเทียม (คล้ายๆหมูอบบ้านเรา) อบในเตาอบด้วยไฟแรง 400F เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เพื่อให้ด้านนอกของเนื้อสุก แต่ด้านในยังนุ่ม หวาน จากนั้นลดไปเตาอบลงมาที่ 350F เวลานานเท่าไหร่ขึ้นกับขนาดของเนื้อนะคะ และจะใช้เทอร์โมมิเตอร์เป็นตัววัดค่ะ เวลาเสิร์ฟจะราดด้วยเกรวี่ หรือใช้น้ำที่ได้จากเนื้ออบราด ก็ได้นะคะ คุณโฮสท์ขอเลี่ยงเกรวี่ด้วยเหตุผลทางสุขภาพค่ะ

ระหว่างรอเนื้อสุก เราจะมาทำเครื่องเคียง ซึ่งวันนี้จะรับประทานเนื้ออบคู่กับมันฝรั่งอบสูตรพิเศษของคุณโฮสท์ค่ะ ใช้มันฝรั่งลูกขนาดกลาง ล้างเปลือกให้สะอาด ไม่ต้องปอกเปลือกค่ะ ห่อด้วยฟอล์ย และอบที่อุณหภูมิ 350F ราว 1 ชั่วโมง เมื่อสุกจะเสิร์ฟพร้อมเบคอน sour cream และต้นหอมซอย

กลิ่นเนื้ออบหอมกรุ่นไปทั่วบ้านเลยค่ะ ขอมอบอาหารจานนี้เป็นของขวัญสำหรับคุณแม่และคนที่จะเป็นแม่ทุกคนนะคะ ความเป็นแม่ เป็นสิ่งพิเศษที่พระเจ้ามอบให้เพศหญิง เป็นแพคเกจการเดินทางที่ต้องอาศัยความเสียสละ ความรักอย่างไร้เงื่อนไข ความอดทน ความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ขัน และอีกมากมาย .. แม่ มองเห็นเราได้ดีที่สุด และสำหรับตัวเองทุกครั้งที่ยืนต่อหน้าแม่ จะรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกระจกใสๆ ที่แม่อ่านทะลุได้ง่ายดาย ..
เค้าบอกไว้ว่า
"

A mother is a person who seeing there are only four pieces of pie for five people, promptly announces she never did care for pie"

ถ้าผู้หญิงคนนี้ยังอยู่ใกล้ๆคุณ ..บอกรักเธอ ขอบคุณสำหรับสิ่งมหัศจรรย์ที่เธอได้ทำให้กับชีวิตเรานะคะ

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ข้าวหมกไก่ ( Chicken Biryani )




ข้าวหมก เป็นอาหารที่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในตะวันออกกลางรวมทั้งชาวมุสลิมในประเทศต่างๆ ต้นกำเนิดของข้าวหมกน่าจะอยู่ที่เปอร์เซียโดยได้รับอิทธิพลจากมองโกลที่เข้ายึดครองตะวันออกกลางเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 18 ข้าวหมกของเปอร์เซียมี 2 ชนิดคือ เชโล ใส่แต่หญ้าฝรั่นกับเครื่องเทศหุงกับข้าว และโปโล เป็นการนำเนื้อสัตว์หรือถั่วที่ปรุงรสกับเครื่องเทศมาหมกลงในข้าวที่หุงใกล้จะสุกแล้ว
เมื่ออินเดียรับวัฒนธรรมการปรุงข้าวหมกไปจากเปอร์เซียได้พัฒนามาเป็นข้าวบิรยานีและข้าวปุเลา ส่วนชาวมาเลเซียและอินโดนีเซียปรุงข้าวหมกแบบเดียวกับอินเดีย แต่ไม่ใส่หญ้าฝรั่น ใช้สีเหลืองจากขมิ้นแทน
เมื่อชาวเปอร์เซียมาติดต่อค้าขายกับประเทศไทย ได้นำข้าวหมกมาเผยแพร่ด้วย ข้าวหมกที่ใส่ผงขมิ้น สีเหลืองสุกแล้วกินกับเนื้อสัตว์อบ คนไทยเรียกข้าวบูคอรีหรือข้าวบุหรี่ ในปัจจุบัน ข้าวหมกที่คนไทยรู้จักกันดีที่สุดคือข้าวหมกไก่ ซึ่งตรงกับข้าวหมกประเภทบิรยานีของอินเดียค่ะ (ขอบคุณ wikipedia สำหรับความรู้รอบตัวนะคะ)
ทราบที่มาแล้ว ลองมาดูส่วนผสมและวิธีทำนะคะ ส่วนผสมหลักคือผงข้าวหมกประกอบด้วยเครื่องเทศหลายชนิดมาก ใครโชคดีหาซื้อผงข้าวหมกไก่ได้ก็ไม่ต้องปวดหัว แต่พอดีหาซื้อแบบสำเร็จไม่ได้เลยต้องเปิดตำราปรุงเองค่ะ ส่วนประกอบมีดังนี้ : ผงขมิ้น 2 ชช. ผงกระหรี่ 1 ชช. ผงซินนามอน 1 ชช. ผงคูมิน 1ชช. ผง red pepper 1 ชช.
วิธีเตรียมไก่ ล้างน่องไก่ให้สะอาด เอาส้อมแทงให้ทั่ว เพื่อให้เครื่องปรุงเข้าเนื้อ จากนั้นนำโยเกิร์ตรสจืด 4 ชต. มาผสมรวมกับผงข้าวหมกที่เตรียมไว้และนำไปหมักน่องไก่ที่เราล้างสะอาดรอไว้แล้วข้างต้นค่ะ ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง ถ้ามีเวลามากให้ทิ้งข้ามคืนเลยค่ะ เครื่องเทศจะเข้าเนื้อมาก
วิธีทำ
ตั้งกระทะให้ร้อนนำน่องไก่ที่เราเตรียมไว้ไปผัดจนหนังเกรียมนิดๆ ยกพักไว้
นำเนยลงไปผัดในกระทะใบใหม่ แล้วเอาหอมแดงที่หั่นซอยไปผัดให้เหลือง จากนั้นเติมผงเครื่องเทศที่ใช้หมักน่องไก่ ลงไปอีกครึ่งส่วน แล้วนำน่องไก่มาผัดต่อค่ะ เติมน้ำสะอาดลงไปให้พอขลุกขลิกและผัดต่อไปจนเนื้อไก่สุกซัก 50% หรือดูแล้วไม่มีเนื้อแดงๆ ให้ยกลงพักให้ไก่เย็น
คราวนี้หุงข้าวได้เลยค่ะ แต่ใช้นำที่เราผัดน่องไก่มาหุงและเอาน่องไก่ใส่ลงไปในหม้อหุงข้าวด้วย
ระหว่างรอข้าวสุก ก็เตรียมน้ำจิ้ม จะใช้น้ำจิ้มไก่เลยก็ได้นะคะ ส่วนถ้าไม่มีให้ใช้ ground chili paste ผสมกับน้ำเชื่อม ชิมรสตามใจชอบค่ะ

เป็นเมนูที่ทำสนุกที่สุด โดยเฉพาะตอนผสมผงหมกไก่เอง สนุกมากๆ เพราะไม่มีสูตรตายตัวค่ะ จับเอานั่นเอานี่มาใส่ ลุ้นเอาว่าจะออกมาแบบไหน แต่นี่ก็คือเสน่ห์ของการทำอาหารค่ะ ... เค้าเรียกว่า จอมยุทธ์ไร้กระบวนท่า วะฮาฮ่า

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คุณค่าของเมล็ดข้าว



เปิบข้าวทุกคราวคำ
จงสูจำเป็นอาจิณ
เหงื่อกูที่สูกิน
จึงก่อเกิดมาเป็นคน

ข้าวนี้น่ะมีรส
ให้ชนชิมทุกชั้นชน
เบื้องหลังซิทุกข์ทน
และขมขื่นจนเขียวคาว

จากแรงมาเป็นรวง
ระยะทางนั้นเหยียดยาว
จากรวงเป็นเม็ดพราว
ล้วนทุกข์ยากลำบากเข็ญ

เหงื่อหยดสักกี่หยาด
ทุกหยดหยาดล้วนยากเย็น
ปูดโปนกี่เส้นเอ็น
จึงแปรรวงมาเป็นกิน

น้ำเหงื่อที่เรื่อแดง
และน้ำแรงอันหลั่งริน
สายเลือดกูทั้งสิ้น
ที่สูซดกำซาบฟัน

~ จิตร ภูมิศักดิ์ ~

วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คั่วกลิ้งหมู



จู่ๆ ก็นึกอยากรับประทานอาหารใต้เผ็ดๆ พอดีเดินเล่นอยู่ที่ supermarket เจอผงขมิ้นและตะไคร้ เลยนึกถึงอาหารใต้ที่เรียกว่า "คั่วกลิ้ง" ขึ้นมาทันที คำว่าคั่วกลิ้ง ไม่ทราบจริงๆค่ะว่าที่มา มาจากไหน แต่เท่าที่ค้นเจอเค้าบอกว่าอาหารจานนี้เป็นการนำเนื้อสัตว์มาคั่วจนแห้ง และกลิ้งในกระทะได้ ดังนั้นเทคนิคที่จะทำคั่วกลิ้งให้เป็นคั่วกลิ้งคือ ต้องใส่น้ำมันให้น้อย จะทำให้เนื้อสัตว์ที่ใช้ไม่แฉะ รับประทานอร่อยค่ะ

สูตรนี้เป็นสูตรประยุกต์เอาเอง สำหรับแม่บ้านยุคใหม่ ที่หาเครื่องปรุงแบบต้นตำรับลำบาก ยิ่งอยู่ต่างแดน ไม่สามารถหาเครื่องปรุงมาตำน้ำพริกคั่วกลิ้งได้ เลยประยุกต์ใช้พริกแกงแทน มาดูสูตรกันนะคะ

ส่วนผสม
เนื่อหมูสับ
น้ำพริกแกง เลือกใช้น้ำพริกแกงแดงค่ะ เพราะชิมแล้วรสชาติใกล้เคียงน้ำพริกคั่วกลิ้ง
ผงขมิ้น
ตะไคร้หั่นฝอย
พริกชี้ฟ้า
ใบมะกรูด (ถ้ามี)
กะปิ น้ำตาล น้ำมัน

วิธีทำ : หมักหมูสับด้วยซีอิ๊วขาวและใส่ผงขมิ้น ประมาณ 2 ช้อนชา ต่อหมูสับ 300 กรัม จากนั้นนำหมูสับไปผัดด้วยไฟปานกลาง ใส่น้ำมันน้อยๆนะคะ เพราะเนื้อหมูสับมักมีน้ำมันอยู่แล้ว รวมทั้งพริกแกงเองก็มีน้ำมันค่ะ ถ้าใส่เยอะไป หมูจะแฉะ กลิ้งไม่ได้ อย่ามาว่ากันนะคะ ^^ พอผัดหมูจนสุกและแห้งดีแล้ว นำน้ำพริกแกงลงไปผัดค่ะ ผัดให้เข้ากันดี จนแห้งและปรุงรสตามชอบใจ คั่วกลิ้งต้นตำรับจริงๆ ต้องเค็มโด่งนะคะ และห้ามใส่น้ำตาล คนไหนเป็นความดันโลหิตสูง ก็รับประทานแต่น้อยๆ นะคะ ผัดได้ที่แล้วใส่ตะไคร้ และพริกชี้ฟ้าหั่นฝอยลงไป ถ้ารับประทานเผ็ดไม่เก่ง ไม่ต้องใส่ก็ได้ค่ะ จากนั้นโรยหย้าด้วยใบมะกรูดเป็นอันเสร็จ

ทุกครั้งที่ทานคั่วกลิ้ง จะต้องทานคู่ผักกับสารพัดชนิด เพื่อเบรคความเค็มและความเผ็ด อย่างไรก็ตามสูตรนี้เป็นสูตรคั่วกลิ้งประยุกต์ ไม่ใช่ต้นตำรับปักษ์ใต้แท้นะคะ เอาไปทำรับประทานเล่นๆ ง่ายๆ ก่อน วันไหนมีเวลาจะเอาสูตรน้ำพริกคั่วกลิ้ง แบบจัดเต็ม มานำเสนอค่ะ

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แกงมัสมั่นน่องไก่ (Chicken Masmun Curry)



ตอนเรียนมัธยม เคยท่องโคลงกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานพระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่2 ที่ว่า " มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา" ท่องทีไร น้ำลายมันสอทุกทีค่ะ เพราะใจมันลอยไปหาแกงมัสมั่นหอมๆ รับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

แกงมัสมั่น สันนิษฐานว่ามาจาก ต้นเครื่องชาวอินเดีย คณะทูตชาวเปอร์เชียได้บันทึกไว้ว่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เป็นเจ้าไทยองค์เดียวที่เสวยอาหารแขกมันๆ ได้ แม้หลังจากขึ้นครองราชย์สมเด็จพระนารายณ์ก็ยังคงมีพ่อครัวซึ่งเป็นแขกอินเดีย ทำหน้าที่เป็นต้นเครื่องถวายอาหารอินเดียให้เสวยเป็นครั้งครา แกงมัสมั่น เป็นตำรับอาหารที่ผสมผสานระหว่างครัวอินเดีย กับ ครัวไทย ที่สะท้อนให้เห็นถึงการเลือกใช้เครื่องเทศ สมุนไพร และเครื่องปรุงอย่างชาญฉลาด

แกงมัสมั่น ถือเป็นอาหารขึ้นชื่อของครัวสกุล บุนนาค ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากเฉกอะหมัด พ่อครัวเปอร์เชียที่รับราชการในราชสำนักสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แม้เดิมจะนับถือศาสนาอิสลามนิกายซีอะห์ หรือที่คนไทยสมัยก่อน เรียกว่า แขกเจ้าเซ็น ต่อมาลูกหลานสกุลบุนนาค เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธ และได้ดัดแปลงอาหารไทยมุสลิมออกมามากมายหลายชนิด โดยเปลี่ยนจากเดิมที่ใช้นมสด หรือ นมเปรี้ยว มาเป็น กะทิ ซึ่งมีมัสมั่นก็เป็นอาหารที่ถูกปรุงจนถูกลิ้นคนไทย และกลายเป็นอาหารไทยในที่สุดค่ะ

ได้ความรู้พอหอมปากหอมคอ เราไปดูส่วนผสมและวิธีทำกันนะคะ

ส่วนผสมหลัก

1. เนื้อไก่ เลือกใช้ส่วนอกหรือน่องก็ได้ค่ะ สูตรนี้ใช้น่องไก่

2. กะทิ แยกหัวกะทิและหางกะทิไว้นะคะ ใช้หางกะทิประมาณ 300 ซีซีค่ะ

3. น้ำพริกแกงมัสมั่น ใครมีฝีมือสามารถตำเองได้นะคะ เข้าไปดูรายละเอียดที่นี่ค่ะhttp//www.panyathai.or.th ส่วนแม่ครัวขี้เกียจ เลยขออนุญาตใช้น้ำพริกสำเร็จรูปนะคะ

4. มันเทศหั่นสี่เหลี่ยม

5. ถั่วลิสง

วิธีทำ

1. นำหางกะทิตั้งไปให้เดือด จากนั้นใส่น่องไก่ที่เตรียมไว้และมันเทศลงไปต้มเพื่อให้น่องไก่และมันเทศเปื่อย นิ่ม

2. ตั้งกระทะแยก ใส่น้ำมันประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ และนำน้ำพริกแกงลงไปผัดให้หอม จากนั้นค่อยๆหยอดหัวกะทิลงไปผัด ทีละน้อยๆค่ะ จนทั้งน้ำพริกและหัวกะทิเข้ากันดี ขั้นตอนนี้จะสร้างกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบ้าน เปิดที่ดูดควันด้วยนะคะ

3. นำน้ำพริกแกงที่ผัดกับหัวกะทิ ใส่ไปในหม้อที่เราต้มน่องไก่ไว้ จากนั้นชิมรสค่ะ รสของมัสมั่นนั้นจะเค็มนำนะคะ ตามด้วยหวานและเปรี้ยว โดยความหวานให้มาจากน้ำตาลปี๊บ ส่วนเปรี้ยวใช้มะขามเปียกค่ะ

4. ได้รสกลมกล่อม ให้ใส่ถั่วลิสงลงไป เคี่ยวต่ออีกซักชั่วโมง สองชั่วโมงจนเนื้อไก่นิ่มเละ น้ำแกงงวดๆ ยิ่งเคี่ยวนานรสจะเข้มข้นมากขึ้นค่ะ เสร็จแล้วตักเสิร์ฟร้อนๆ พร้อมข้าวสวย อูยยย..น้ำลายไหลแล้วค่ะ


ขอให้สนุกกับการเข้าครัวและเมนูมัสมั่นนะคะ ^^