วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Go with the Flow


In our society, we often use the phrase, "Go with the flow." Many of us have not given any thought as to what that means. Going with the flow means moving with the flow of events. It means that you move with the present, and you do not fight against it. The present is also known as "current." It is the energy of one event happening after another. By staying connected with the current, you flow with it. With flow, you are no longer resisting the events of your life. You understand that every event that occurs in your life had to happen exactly as it did. At the level of spiritual energy, there are no mistakes.

Everything that happens in your life happens for a reason that benefits you. We always say that "everything happens for a reason," but we conveniently leave off the fact that it happens for reason that benefits us. We may never consciously see how that situation benefits us, but it inevitably holds a pearl for us that we need only to see, experience, feel, or hear.

The spiritual person moves with the flow of the present. She doesn't spend time wishing that this moment were anything different than what it already is. She experiences it, accepts it, and makes a decision about how she will see it. She spends no time on how the situation could have been, should have been, or would have been. She accepts now and flows with it.

When you indulge yourself into the should've, could've, and would've, you are fighting the flow. In fact, you are stopping it to analyze it instead of moving with it. You are spending your present moments analyzing the past moments...moments which you can do nothing about. You are using the moments you have choice about to ponder moments you cannot change.

Moving with the flow of events requires a trust that everything is exactly as it should be. There is an understanding that there is nothing wrong and that everything happens for a reason that benefits us, even when we don't understand it.

The spiritual person realizes that this isn't always a pleasant experience. Situations will come up that may be difficult to deal with and possibly painful. Where the vast majority of people will complain about the situation and will wish for something else, the spiritual person will allow himself to experience the emotions he has attached to the circumstance. He will see that the situation is what it is, and will claim full responsibility for the emotions he generated about it. He will also continue to flow with the event. Despite his opinions about the event itself, he will continue to move with it and not make a decision to move against that flow because of the emotions he is feeling. He will look inwardly for the next action or wait for the next action to become obvious. Rather than fight, he thinks movement. This is what it means to flow



Article Source: http://EzineArticles.com/2926175

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อร่อยเบาๆ กับ ซุปน่องไก่ใส่มันหวาน


ไม่ทันไร ที่นี่จะเข้าฤดูร้อนแล้วค่ะ หลังจากผจญกับฤดูหนาวยาวนานกว่า 8 เดือน มองไปรอบๆตัว ที่ที่เคยมีแต่หิมะ ตอนนี้กลายเป็นต้นหญ้าสีเขียว มีดอกไม้ มีนกร้อง กระต่ายกระรอกออกมาวิ่งเล่น เพิ่งอ่านหนังสือของท่าน Osho ศาสดาทางจิตวิญญาณชาวอินเดีย ท่านกล่าวว่า เราไม่มีความรู้สึกตัวพอว่าทุกสิ่งนั้นใหม่ตลอดเวลา สำหรับจิตที่ไม่รู้ตื่นทุกอย่างจะดูเก่า สำหรับจิตที่มีชีวิตชีวาทุกอย่างไม่มีอะไรเก่า ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง เลื่อนไหล เลยมองย้อนไปที่ตัวเองว่า เราเคยบ่นกับฤดูหนาวว่าช่างมืด เทา ขาวโพลนไปทุกวันๆ น่าเบื่อ แต่จริงๆคงไม่มีสติพอที่จะมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ เช่นอากาศค่อยๆอุ่นแล้ว มีต้นไม้งอก และนกเริ่มร้อง กว่าจะรู้ตัวฤดูกาลก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว.. เค้าถึงบอกว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง คนที่เดินออกจากบ้านไปตอนเช้า เมื่อเค้าเดินกลับมาในตอนเย็น เค้าก็เป็นอีกคนนึงเสมอ ไม่ว่าเราจะรับรู้หรือไม่ก็ตาม ^^

บ่นอะไรไม่รู้มายืดยาว แค่เพราะจะเข้าเมนูอาหารวันนี้ ที่เป็นเมนูเบาๆ สบายท้อง สำหรับช่วงฤดูเปลี่ยน ที่นี่อากาศหนาวๆ ร้อนๆ เดี๋ยวฝน เดี๋ยวแดด แม่ครัวเองป่วยมาสองสามรอบแล้วค่ะกับอากาศแบบนี้ ทุกครั้งที่เป็นหวัดจะนึกถึงซุปรสอ่อนๆ ร้อนๆ สักถ้วย เลยเป็นที่มาของเมนูในวันนี้ค่ะ

"ซุปน่องไก่ใส่มันหวาน"( Chicken drumstick broth with onion and sweet potato)

น่องไก่ 400 กรัม เลือกขนาดตามชอบ
น้ำซุปไก่ 500 ซีซี จะใช้ซี่โครงไก่ต้ม หรือจะใช้ผงไก่ก้อน ก็ตามสะดวกค่ะ
หอมหัวใหญ่หั่นเป็นแว่น
มันหวาน (sweet potato)
เกลือป่น

วิธีทำ
  1. หมักน่องไก่ในซอสถั่วเหลืองกับพริกไทยดำ ทิ้งไว้ราว 1 ชั่วโมง
  2. ตั้งไฟ ต้มน้ำซุปไก่จนเดือด ถ้าใครใช้ผงไก่ก้อน ให้ต้มน้ำสะอาดพร้อมกับผงก้อนไก่ รอจนเดือดใส่น่องไก่ลงไปต้ม ให้ช้อนฟองที่ลอยบนน้ำซุปออกนะคะ ไม่งั้นน้ำซุปจะไม่ใส
  3. พอเดือด ใส่หัวหอมและมันหวานลงไป
  4. ลดไฟ และเคี่ยวจนส่วนผสมสุก ปรุงรสด้วยเกลือป่น แม่ครัวชอบปรุงรสซุปด้วยเกลือมากกว่าซีอิ๊วหรือน้ำปลาค่ะ เพราะรู้สึกว่าได้รสที่นิ่มนวลและไม่ทำลายกลิ่นของซุป ซึ่งมาจากหัวหอม มัน และเนื้อไก่
  5. ตักเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยพริกไทย ใครไม่ชอบก็ไม่ต้องใช้ รับประทานร้อนๆ อาจจะรับประทานเดี่ยวๆ หรือคู่กับข้าวสวยนิ่มๆ ชูกำลังและทำให้คนป่วยเจริญอาหารได้ดีนักแล..

อากาศเปลี่ยนแปลง ขอให้รักษาสุขภาพของตัวเองและคนใกล้ตัวนะคะ แม่ครัวฝากเมนูนี้ไว้รักษาสุขภาพทุกๆคนค่ะ ^^

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หมึกผัดไข่เค็ม


กิจวัตรประจำสุดสัปดาห์ของแม่บ้าน คงไม่พ้นเคลียร์อาหารสดที่ยังค้างในตู้เย็นนะคะ แม่ครัวเก็บข้าวจัดของ ไปเจอไข่เค็มเหลืออยู่หลายฟอง เลยนึกถึงเมนูนี้ขึ้นมาได้ วันนี้ไม่พูดมากแล้วค่ะ เข้าสู่เมนูอาหารของเราเลย

ส่วนผสม "หมึกผัดไข่เค็ม"

  • หมึกหั่นเป็นชิ้นพอคำ บั้งเป็นตาราง (เดี๋ยวนี้supermarket ใหญ่ๆ เค้ามีแบบเตรียมเสร็จ ด้วยค่ะ ลดแรงแม่ครัวไปเยอะ)
  • ไข่เค็ม เอาเฉพาะไข่แดง 3 ฟอง
  • น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
  • กระเทียม
  • ต้นหอม
  • พริกขี้หนู หรือพริกชี้ฟ้าสีแดง หั้นตามยาว
  • น้ำปลา พริกไทย น้ำตาล

วิธีทำ
  1. ล้างปลาหมึกให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นขนาด 1-2 นิ้วแล้วบั้งเป็นตาราง แม่ครัวซืเอแบบเตรียมสำเร็จมาเลย แกะห่อปุ๊บ เป็นชิ้นๆมาให้ สบายดีค่ะ แต่แพง ฮ่าๆๆ แนะนำให้ลวกหมึกก่อนนะคะ ก่อนเอาไปผัด
  2. ผสมน้ำพริกเผาและไข่แดงไข่เค็มเข้าด้วยกัน พยายามบี้ไข่แดงให้เข้ากันกับน้ำพริกเผา ใครชอบรสเผ็ดก็ต้องเลือกน้ำพริกเผ็ดหน่อย แต่แม่ครัวคิดว่าไม่ควรใส่น้ำพริกเผาเยอะ เพราะสีจะออกมาไม่สวย และไม่ควรโหมใส่ไข่เยอะ เพราะจะข้นและผัดยาก เอาพอดีๆนะคะ คงต้องกะมือกันเอง
  3. จากนั้นตั้งน้ำมันในกะทะให้ร้อน ใส่กระเทียมลงไปเจียวและนำน้ำพริกเผาพร้อมไข่ที่เราเตรียมไว้ลงไปผัด ผัดสักครู่ลดไฟนะคะเดี๋ยวไข่ไหม้ พอมีกลิ่นหอมปุ๊บเอาหมึกลงไปผัด คลุกเคล้าให้เข้ากัน
  4. ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาลตามชอบ ปกติน้ำพริกเผาจะมีรสออกเผ็ดหวานอยู่แล้ว ส่วนไข่เค็มก็จะให้รสเค็ม ควรชิมรสก่อนปรุงนะคะ แม่ครัวไม่ใส่น้ำมันหอยเลยเพราะกลัวสีหมึกไม่สวย อยากให้ดูเหลืองๆแดงๆ น่ากินมากกว่าสีออกคล้ำๆ แต่ต้องชิมอยู่หลายทีกว่าจะได้รสที่พอใจค่ะ
  5. หลังจากนั้นใส่ต้นหอม พริกลงไปผัด ใครมีคึ่นฉ่ายก็ใส่ลงไป แล้วยกลงเสิร์ฟ
  6. เค้าบอกว่าต้องรับประทานแกล้มเบียร์ แต่แม่ครัว No Alcohol เลยขอรับประทานกับน้ำอัดลมแทน แม่บ้านท่านไหนมีพ่อบ้านชอบชวนก๊วนเพื่อนมาเฮฮา เมนูนี้แนะนำค่ะ


วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สุขภาพดีกับ เห็ดชิตาเกะอบซีอิ๊ว ( Fried Shiitake in soy sauce)



เห็ดเป็นของโปรดของหลายๆคนนะคะ ถ้าไปทบทวนวิชาชีววิทยา จะรู้ว่า เห็ดไม่ใช่พืช แต่เห็ดเป็นดอกของเชื้อรา จึงไม่สังเคราะห์แสง นักชีววิทยาเรียกเชื้อราที่มีดอกคล้ายร่ม(ฝรั่งเค้าเรียกว่า cap แบบหมวกแก๊ป)และใต้หมวกมีลักษณะเป็นครีบๆ คล้ายเหงือกปลา ว่า เห็ด หรือ Mushroom ถ้าเราหงายเจ้าหมวกนี่ขึ่น เราจะเห็นว่าตามร่องของครีบเล็กๆนั้น อุดมไปด้วยสปอร์ของเชื้อรา และพร้อมจะปลิวไปเจริญเติบโต ... เขียนมาถึงตรงนี้แล้ว แม่บ้านพ่อบ้านหลายท่านเริ่มรับประทานเห็ดไม่ลงกันเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามคงปฏิเสธไม่ได้ค่ะว่าเห็ดเป็นอาหารที่มีคุณค่า มีเกลือแร่สูง และแคลอรี่ต่ำ อาหารจานเห็ดที่แม่ครัวจะนำเสนอวันนี้ ทำมาจากเห็ดเชื้อสายเอเชีย ที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ชิตาเกะ เห็ดชิตาเกะ ( shiitake)เป็น edible mushroom คือเห็ดกินได้ ( เห็ดกินไม่ได้ทุกดอกนะคะ ขอเตือนไว้ก่อน 55) เค้าว่าชิตาเกะเนี่ย เป็นเห็ดที่มีสรรพคุณเป็นยาและถูกใช้ในการแพทย์แผนจีนมายาวนานแล้วค่ะ เห็ดชนิดนี้อุดมด้วยสารอาหารคือ ธาตุเหล็ก เกลือแร่ เช่น แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โปแตสเซียม ซีลิเนียม วิตามินบี 2,5,6 ไนอะซิน และมีแคลอรี่ต่ำมาก (น้อยกว่า 50 แคลอรี่ต่อ 100 กรัม) เห็ดอะไร มหัศจรรย์จริง ^^

เมนูวันนี้เป็นเมนูง่ายๆ นะคะ ใช้เวลาปรุงรวดเร็ว เพราะถ้าเราปรุงนานไป สารอาหารโดยเฉพาะวิตามิน อาจถูกทำลายด้วยความร้อนจากการปรุงอาหาร เอาล่ะค่ะ มารับเมนูกันเลย "เห็ดชิตาเกะอบซีอิ๊ว"

เครื่องปรุง เห็ดชิตาเกะอบซีอิ๊ว
เห็ดชิตาเกะ ล้างสะอาด
ซีอิ๊วขาวถั่วเหลือง
พริกไทยดำ
กระเทียม
น้ำมันหอย
แป้งอเนกประสงค์

วิธีทำ
  1. บางสูตรขั้นแรก เค้าแนะนำให้เอาเห็ดไปแช่ซีอิ๊วไว้ซักครู่ แต่แม่ครัวกลัวเค็ม เลยคิดว่าไม่จำเป็นต้องแช่ซีอิ๊วก่อน แต่ตอนผัดต้องคลุกเค้าดีๆ เท่านั้นค่ะ
  2. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันมะกอก รอจนน้ำมันร้อนแล้ว ใส่กระเทียมและนำเห็ดชิตาเกะไปลงไปผัด เติมซีอิ๊วขาวและน้ำมันหอยลงไปเล็กน้อย ราวอย่างละ 2 ช้อนโต๊ะ ผัดจนเข้ากันดี ถึงตอนนี้ยกเสิร์ฟร้อนๆ ได้เลย แต่แม่ครัวชอบน้ำราดแบบหนึบๆ เลยปรับสูตรโดยเติมแป้งเอนกประสงค์ที่ละลายน้ำแล้วลงไป จะทำให้น้ำที่ได้จากการผัดออกเหนียวๆ หนึบๆ คล้ายน้ำราดหน้า (ถ้าใครไม่ชอบก็ผ่านขั้นตอนนี้ได้ค่ะ)
  3. เวลาเสิร์ฟโรยพริกไทยดำเพื่อชูกลิ่น รับประทานกับข้าวต้มหรือข้าวสวยร้อนๆ ค่ะ


คนรักเห็ดคงสมใจแล้วนะคะ ใครมีเมนูอะไรที่ทำจากเห็ดมาเสนอแม่ครัว ช่วยมาโพสท์กันได้ค่ะ จะซาบซึ้งมากๆ สุขสันต์วันอาทิตย์ รับประทานให้อร่อยนะคะ ^^




วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กล้วยเชื่อม แบบกล้วยๆ (Banana syrup)



ทำมันเชื่อมมาแล้ว เปลี่ยนมาทำกล้วยเชื่อมบ้าง ไม่ยากเลยค่ะ เพราะใช้กรรมวิธีเดียวกัน อาจต่างที่รายละเอียดบ้างเล็กน้อย กล้วยที่นิยมนำมาเชื่อมคือกล้วยไข่ มีลักษณะผลเรียวเล็ก เนื้อนิ่มหวาน ทุกคนน่าจะคุ้นเคยกันดีนะคะ เวลาเลือกกล้วยมาเชื่อมให้เลือกกล้วยห่าม ที่เปลือกสีเขียวอมเหลืองเพราะเนื้อจะแข็ง ไม่เละเวลาเชื่อม โดยเฉพาะถ้าไม่มีน้ำปูนใสแช่กล้วยไว้ก่อน การเชื่อมนานๆ ทำให้เนื้อกล้วยเละ ไม่น่ารับประทานค่ะ บางคนเคยเห็นกล้วยเชื่อมสีออกแดงๆ นั่นเป็นเพราะเค้าเชื่อมด้วยน้ำตาลทรายแดงเพื่อเพิ่มสีสัน โดยส่วนตัวชอบสีเหลืองสวยๆ ของกล้วยมากกว่าสีแดงๆ ค่ะ

เกริ่นมาพอสมควรแล้ว ไปจ่ายตลาดกันดีกว่า

ส่วนผสม " กล้วยไข่เชื่อม"

* กล้วยไข่ห่าม 8-10 ผล (ปอกเปลือกและบั้งตามขวาง)

* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง

* น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำกะทิ 1/2 ถ้วยตวง

(สำหรับทำน้ำกะทิราดหน้า)

* เกลือป่น 1/2 ช้อนชา

(สำหรับทำน้ำกะทิราดหน้า)

วิธีทำ

  1. ปอกกล้วย และบั้งให้เป็นริ้วๆ นำไปแช่น้ำปูนใส (ถ้ามี) ถ้าใช้กล้วยห่ามไม่ต้องแช่ก็ได้ค่ะ
  2. ตั้งหม้อเพื่อทำน้ำเชื่อม ใช้อัตราส่วนน้ำตาล 2 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน รายละเอียดลองกลับไปดูหัวข้อมันเชื่อมนะคะ พอเดือด กรองตะกอนออกด้วยผ้าขาวบาง และใส่กล้วยลงไป เติมน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย
  3. รอจนน้ำตาลเคลือบกล้วยจนทั่ว ยกมาตั้งให้เย็น เวลาเสิร์ฟราดด้วยน้ำกะทิข้นๆ
มีคนแนะนำผ่านทาง facebook ว่าให้ใส่น้ำแข็งและราดด้วยกะทิ เป็นไอเดียที่น่าลองทำตามมากๆค่ะ กล้วยเป็นผลไม้ที่เอามาประกอบอาหารได้หลากหลายมาก ไว้จะเอาเมนูกล้วยๆ มาแชร์คุณๆ แม่บ้านอีกนะคะ



ผัดขี้เมา (Fried drunken pork)


ไม่รู้ว่าต้นกำเนิดผัดขี้เมามาจากไหน แล้วยังสงสัยอีกว่าทำไมต้องผัดขี้เมา เพราะส่วนผสมไม่ได้มีเหล้าเลยสักนิด ลองไปค้นดูเค้าบอกว่าอาหารจานนี้เป็นการผสมผสานระหว่างอาหารไทย ลาว และจีน เกิดจากการที่ชาวจีนอพยพมายังละแวกนี้และดัดแปลงอาหารจานนี้ขึ้นค่ะ
ไปค้นคว้าเพิ่มอีก ในหนังสือชื่อ “อาหารรสวิเศษของคนโบราณ” เขียนโดยอาจารย์ประยูร อุลุชาฎะ ท่านเขียนไว้ว่าผัดใบกะเพราเป็นของที่เพิ่งนิยมกัน เมื่อ 30 กว่าปีมานี้เอง สมัยก่อนนั้นถ้าใครพูดถึงผัดขี้เมา เขาก็จะนึกถึงเนื้อวัวที่สับละเอียด ที่เอามาผัดกับพริกขี้หนูสวนเม็ดจิ๋ว ๆ โขลกทั้งก้านปนกับกระเทียมเท่านั้น ไม่มีการใช้เนื้อสัตว์ชนิดอื่น และถ้าเป็นผัดกะเพราก็จะใช้เฉพาะเนื้อไก่ ที่เอามาหั่นเป็นชิ้น ๆ เอามาผัด ด้วยเครื่องพริกแบบเดียวกัน ทั้งผัดขี้เมาและผัดกะเพรานี้จะถูกปรุงรสให้จัดจ้าน ด้วยพริกโขลกเป็นหลัก พร้อมเหยาะซีอิ้วดำลงไปนิด ๆ เพื่อให้เกิดสี อาจเพิ่มกลิ่นหอมด้วยการใส่สามเกลอ (รากผักชี+กระเทียม+พริกไทย) โขลกละเอียดลงไปผัดกับพริกด้วย และส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ก็คือ ใบกะเพราที่เด็ดจนถึงก้าน จะต้องเป็นกะเพราแดงเท่านั้นเสียด้วย ถึงจะได้กลิ่นรสร้อนแรงตามสูตร แต่ปัจจุบันทั้งผัดขี้เมาและผัดกะเพราถูกประยุกต์ไปเป็นเมนูต่างๆมากมาย แล้วยังประยุกต์ไปรับประทานกับอาหารฝรั่งเกิดเป็น fusion food เช่น สปาเกตตี้ผัดขี้เมา เป็นต้นค่ะ เอาล่ะ มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

ส่วนผสม
เนื้อสัตว์ตามชอบ แม่ครัวใช้เนื้อหมูเพราะต้องการเคลียร์ตู้เย็นค่ะ
ถั่วฝักยาว
ใบกะเพรา
ใบโหระพา
เห็ดนางฟ้า
พริกขี้หนู
กระเทียม
น้ำมันหอย
น้ำปลา น้ำตาล พริกไทยป่น ตามชอบ
วิธีทำ ก็ไม่ยากเลยค่ะ เอาส่วนผสมที่ว่ามานั้นโยนลงไปผัด ฮ่าๆๆๆ เน้นว่าต้องหนักกลิ่นกะเพรา โหระพา พริกขี้หนู พริกไทย รับรองอร่อยเหาะ

ทนไม่ไหวแล้วววว อยากกินบ้างแล้วค่ะ ^^ ขอตัวก่อนนะคะ ไว้มาเข้าครัวกันใหม่ค่ะ

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

มันเชื่อมแบบมั่วๆ ( sweetened yam)


จู่ๆ ก็นึกครึ้มอยากทำขนมหวานแบบไทยรับประทาน แล้วเมนูที่แว่บมาในสมองคือ มันเชื่อม ด้วยความเข้าใจ (ผิดๆ) ว่าแค่เอามันมาเชื่อม น่าจะง่าย.. จริงๆแล้วความยากมันเริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อมันค่ะ ไม่เคยทราบเลยว่า "มัน"นั้นมีหลายชนิด ยิ่งพอเป็นภาษาอังกฤษก็ยากไปใหญ่ แถมหน้าตาก็เหมือนๆกันไปหมด วันแรกที่ไปซื้อ ไปหยิบมันเทศมาค่ะ เป็นมันชนิดที่เค้าใช้นึ่งรับประทานกัน เนื้อสีเหลือง เละๆ พอเอามาทำปุ๊บ.. รับประทานไม่ได้เลย จนต้องมาสอบถามผู้รู้ และค้นคว้าเพิ่มเติม เลยทราบว่ามันที่เค้านิยมเอามาเชื่อมนั้น เป็นมันสำปะหลัง ซึ่งฝรั่งเรียก Cassava ค่ะ ส่วนมันอีกประเภทที่นิยมนำมาประกอบอาหารคือ sweet potato บางคนก็เรียกว่า yam สรุปว่าต้องกลับไปซื้อมันเจ้าปัญหาอีกรอบ แต่หามันสำปะหลังไม่ได้ เลยลงเอยด้วยการเอา sweet potato มาเชื่อมแทน (ลำบากดีแท้)

พูดถึงการเชื่อมด้วยน้ำตาล เป็นรูปแบบหนึ่งของการถนอมอาหาร ทำให้เก็บรักษาอาหารได้นานขึ้นและยังเปลี่ยนรสชาติอาหารให้แปลกใหม่ โดยจะนำผลไม้มาต้มในน้ำตาลจนเนื้อผลไม้นั้นนุ่ม เป็นประกายวิ้งๆ เพราะน้ำตาลไปเคลือบจนทั่ว อีกทั้งระหว่างการเชื่อมผลไม้จะจุน้ำตาลไว้ ดังนั้นน้ำเชื่อมต้องใส และไม่ควรเข้มข้นมากเพราะจะทำให้เนื้อผลไม้เหี่ยว เหนียวหรือแข็งเกินไป ถ้าผลไม้เนื้อนิ่ม เละง่ายควรแช่ด้วยน้ำปูนใส เพื่อให้คงรูปดี ส่วนถ้าอยากให้เนื้อผลไม้เป็นประกายต้องเคี่ยวด้วยไฟปานกลางเพราะถ้าไฟอ่อนจะทำให้ผลไม้สีคล้ำไม่สวยได้ค่ะ

ไม่รอช้า รับสูตรได้เลยค่ะ

" มันเชื่อม"
ส่วนผสม
มันสำปะหลัง (cassava) หรือ มันหวาน (sweet potato) วันนี้ใช้มันหวานนะคะ
น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง
น้ำสะอาด
น้ำมะนาว
เกลือป่น
หัวกะทิ

วิธีทำ
  1. ปอกเปลือกมันหวานออก ล้างให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นๆ ตามชอบ ตามสูตรเค้าให้เอาไปแช่น้ำปูนใส แต่เราไม่มี เลยไม่แช่ค่ะ โชคดีที่ไปอ่านเจอว่ามันหวานแถบนี้ เนื้อแข็ง ไม่เละง่าย เลยโล่งอกไป
  2. ตั้งหม้อ ใส่น้ำสะอาด 2-3 ถ้วยตวง กะให้ท่วมชิ้นมันหวานนะคะ แล้วเติมน้ำตาลลงไป ใช้อัตราส่วนน้ำตาล 2 ส่วนต่อน้ำ 3 ส่วน เพื่อไม่ให้น้ำเชื่อมข้น และเกิดการดึงน้ำออกจากเนื้อมัน (ตามหลักวิทยาศาสตร์เลย) เคี่ยวให้กลายเป็นน้ำเชื่อม แล้วกรองเอาสิ่งสกปรกออกด้วยผ้าขาวบาง
  3. นำน้ำเชื่อมที่ได้มาตั้งไฟอีกรอบ คราวนี้ใส่มันหวานลงไป พยายามให้น้ำเชื่อมท่วมมันนะคะ อย่าพลิกหรือกลับบ่อยเกินไป เพราะเนื้อมันจะเละ เติมน้ำมะนาวเพื่อให้น้ำตาลเกาะแน่นมากขึ้น คอยดูจนกว่าน้ำเชื่อมเคลือบทั่วมัน เห็นเป็นเงาประกาย
  4. นำหัวกะทิมาอุ่น แล้วปรุงด้วยเกลือป่น รสออกเค็มๆมันๆ เพื่อตัดรสหวานของมันเชื่อม ราดให้ทั่วหรืออาจลองใช้นมสดก็ได้นะคะ แค่นี้ก็อร่อยพร้อมเสิร์ฟแล้วค่ะ ^^



วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2554

กิมจิ จิเกะ ( Kimchi jjigae)



อันยอง ฮาเซโย !!
เอาใจคอซีรีย์เกาหลีด้วยเมนูยอดฮิต "กิมจิ จิเกะ" หรือ "แกงกิมจิ" มาจากคำ 2 คำ คือ จิเกะ (jjigae) ที่แปลว่าสตูว์ที่ปรุงสไตล์เกาหลี และ กิมจิ (kimchi, kim chee, gimchi) ซึ่งเป็นผักดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศให้มีรสชาติต่างๆ
กิมจิ เป็นอาหารประจำชาติของชาวเกาหลี โดยเป็นเครื่องเคียงที่นิยมรับประทานกับอาหารเกาหลีแทบทุกเมนู มิหนำซ้ำยังเอามาประยุกต์เป็นเมนูอร่อยๆ อีกมากมายนะคะ เช่น ข้าวผัด ซุป กิมจินั้นมีหลายชนิดค่ะ ขึ้นกับว่านำผักชนิดไหนมาดอง แต่ที่เราเห็นกันบ่อยๆ เค้าจะนำผักกาดขาวมาดอง กับขิง แรดดิช กระเทียม น้ำปลา กะปิเกาหลี (saeujeot)เรียกว่า baechu เห็นสาวๆเกาหลี หน้าตาสวยน่ารัก (ไม่นับที่ผ่านมีดหมอ) ผิวพรรณดีๆ หุ่นดีๆ ไม่ต้องแปลกใจ เพราะเค้ารับประทานกิมจิกัน ว่ากันว่ากิมจิอุดมด้วยไฟเบอร์ มีแคลอรี่ต่ำ วิตามินซีและเบต้า แคโรทีนสูง จึงเหมาะสำหรับคนที่ต้องการลดน้ำหนักและต้องควบคุมอาหารค่ะ พูดกันมายืดยาวเลย เรามาดูส่วนผสมและวิธีทำนะคะ

กิมจิ จิเกะ
ส่วนผสม
กิมจิ ชนิดไหนก็ได้ที่หาซื้อได้
เนื้อหมู (สูตรต้นตำหรับต้องหมูสามชั้นนะคะ แต่แม่ครัวคางสามชั้นแล้ว ของด )
ต้นหอม
กระเทียม
เห็ดเข็มทอง
ซอสพริกเกาหลี (โคชูจัง) ถ้าไม่มีให้ใช้ซอสพริกศรีราชา หรือ น้ำพริกเผา
เต้าหู้ขาว แบบอ่อน
โชยุ

วิธีทำ
  1. ตั้งกะทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกเล็กน้อย หรือ ไม่ใส่เลยก็ได้นะคะ แล้วนำหมูที่หั่นเตรียมไว้ลงไปผัด ใส่ซอสพริกผัดให้เข้ากัน พอหมูเริ่มสุกส่งกลิ่นหอม ใส่กิมจิและกระเทียมลงไปผัด
  2. เติมน้ำซุปกระดูกหมูลงไป ประมาณ 250 ซีซี ถ้าบ้านไหนไม่มีกะทะก้นลึก สามารถเปลี่ยนมาต้มในหม้อได้นะคะ ใส่เห็ดเข็มทอง เต้าหู้ แล้วปรุงรสตามชอบ แค่นี้เอง เสร็จแล้วค่ะ
  3. เวลาเสิร์ฟ ตักใส่ชามสวยๆ ใครมีชามแบบเกาหลี ก็จะได้บรรยากาศแบบซีรีย์เกาหลีมากขึ้น และรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ

นั่งรับประทานกิมจิ จิเกะ กับข้าวสวยร้อนๆ อยู่ริมหน้าต่าง วันฝนพรำ อากาศเย็นๆ ยิ่งถ้ามีเพื่อนมานั่งรับประทานด้วยกัน วันฝนตก จะกลายเป็นวันที่สวยงามมากๆ ^^

ขอให้เอร็ดอร่อยกันทุกคนนะคะ แม่ครัวชักน้ำลายสอแล้ว

วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สูตร(ไม่)ลับ Spaghetti Carbonara



ใครกลัวอ้วน ใครคุมอาหาร ใครกำลังลดน้ำหนัก ให้ข้ามเมนูวันนี้ไปได้เลยนะคะ เพราะวันนี้เราจะมาทำสปาเกตตี้คาร์โบนารากันค่ะ คาร์โบนารา ก็คือซอสพาสต้าสีขาวที่ทำจากครีม ไข่ เบคอนและชีส นิยมรับประทานกับสปาเกตตี้ เลยเป็นที่มาของชื่อเมนูค่ะ ถ้าใครอยากลองทำอาหารอิตาเลียน แต่เป็นแม่ครัวมือใหม่ แนะนำให้เริ่มที่เมนูนี้ก่อนเลยนะคะ เพราะส่วนผสมไม่มาก วิธีทำง่าย และใช้เวลาแป๊บเดียวก็ได้รับประทานแล้วค่ะ

ส่วนผสม
  • เส้นสปาเกตตี้
  • Thick cream
  • ไข่ 1 ฟอง
  • Parmesan cheese ขูดฝอย
  • พาร์สลีย์
  • เบคอน
  • น้ำมันมะกอก
  • พริกไทยดำ
  • เกลือ
วิธีทำ
  1. ต้มเส้นสปาเกตตี้ในน้ำที่ใส่เกลือจนเส้นสุก ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีนะคะ เวลาต้มเส้นอย่าใจร้อน สปาเกตตี้ไม่ใช่มาม่า ถ้ายกขึ้นเร็ว แข็งกินไม่ได้ ส่วนถ้าเม้าเพลินก็เละ ไม่น่ารับประทาน ^^
  2. ระหว่างรอเส้นสุก มาทำส่วนของซอสคาร์โบนารา ใช้ไข่ไก่ 1 ฟอง และ thick cream 2 ช้อนโต๊ะ ตีให้เข้ากันด้วยตะกร้อ จนเนื้อเนียนดีแล้วเติมเกลือและพริกไทยดำ พักไว้
  3. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอกเล็กน้อย เพราะเบคอนมีน้ำมันอยู่แล้ว แล้วนำเบคอนที่หั่นเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมเล็กๆลงไปทอดจนเป็นสีเหลือง กรอบ
  4. พอถึงขั้นตอนนี้เส้นสปาเกตตี้จะสุกพอดีค่ะ เอาเส้นไปเดรนน้ำออก
  5. ตักน้ำมันในกระทะออกเล็กน้อย ปิดไฟทันที และเอาเส้นที่สปาเกตตี้ที่ต้มสุกไปคลุก พร้อมเทซอสที่เตรียมไว้ลงไป คนเร็วๆ จนไข่สุก แต่อย่าให้เป็นก้อนนะคะ เราไม่ได้ทำออมเลต ฮ่าๆๆ (บางสูตรไม่ตั้งกระทะ เค้าเอาสปาเกตตี้มาคลุกซอสเลย โดยให้ความร้อนจากเส้นทำให้ไข่สุก แต่แม่ครัวทำใจไม่ได้ค่ะ เลยขอดัดแปลงนิดหน่อย )
  6. ยกเสิร์ฟ โดยโรยหน้าด้วยพาร์มีซาน ชีส และใบพาร์สลีย์ ตกแต่งให้สวยงามค่ะ

เมนูนี้ถ้าอยากกินให้อร่อยต้องลืมเรื่องแคลอรี่ เพราะส่วนผสมอุดมด้วยไขมันล้วนๆ แม่บ้านที่อยากขุนคุณพ่อบ้านให้อ้วน ก็ลองเอาไปทำรับประทานได้ ส่วนบ้านไหนเฮฟวี่เวทกันอยู่แล้ว รับประทานนานๆครั้ง ให้อภัย ไม่ว่ากันค่ะ

Bon Appetite ^^

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ข้าวไก่อบซอสมะเขือเทศ (สูตรไม่ใช้เตาอบ)



วันอาทิตย์แบบนี้ ใครๆก็อยากนอนเล่นสบายๆที่บ้านและทำอาหารง่ายๆรับประทานกันในครอบครัว เมนูวันนี้เลยเป็นเมนูง่ายๆและเหมาะสำหรับแม่บ้านมือใหม่ที่ไม่ชอบทำอาหารยุ่งยากหลายขั้นตอน แถมยังเป็นเมนูที่อร่อย มีคุณค่าทางอาหารด้วย วันนี้เรามาทำ "ข้าวไก่อบซอสมะเขือเทศ" กันค่ะ เตรียมจดส่วนผสมกันได้เลย
  • น่องไก่
  • ซอสมะเขือเทศ
  • เนยเค็ม
  • แป้งข้าวโพด หรือ แป้งอเนกประสงค์
  • กระเทียม
  • หัวหอม ( ถ้าไม่ชอบ ไม่ใส่ก็ได้ค่ะ)
  • ซุปไก่ก้อน
  • ซีอิ๊วดำ ขาว
  • น้ำมันหอย
  • พริกไทยดำ
  • เกลือ
  • น้ำตาล
  • พริกป่น (ถ้าชอบเผ็ด)
วิธีทำ
  1. ต้องหมักน่องไก่ก่อนด้วยซีอิ๊วดำ น้ำมันหอย พริกไทยดำ กระเทียมและรากผักชีตำละเอียด ทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมงค่ะ ส่วนตัวจะบรรจุน่องไก่ที่ต้องการหมักในถุง Ziplock เพราะสามารถขยำให้ส่วนผสมเข้ากัน แล้วไม่เลอะมือด้วยค่ะ
  2. ตั้งกระทะไฟแรงปานกลาง ใส่เนยลงไปผัด ขั้นตอนนี้ให้ใส่หอมหัวใหญ่ไปผัดพร้อมเนยนะคะ แต่วันนี้ที่บ้านไม่มีหอมหัวใหญ่เลยไม่ใส่ค่ะ ( ฮ่าๆๆ สมเป็นแม่ครัวขี้เกียจจริงๆ) จากนั้นนำน่องไก่ที่หมักดีแล้วลงไปทอดให้ส่วนหนังเกรียมทั้งสองด้าน ใส่ซอสมะเขือเทศลงไปประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ อย่าใส่มากนะคะ จุดประสงค์ต้องการสี ไม่ใช่รสเปรี้ยวค่ะ เมื่อซอสและน่องไก่เข้าเนื้อดี พักไว้
  3. ต้มน้ำประมาณ 250 มิลลิลิตร พร้อมซุปไก่ก้อน พอน้ำเดือด ให้นำน่องไก่ที่เราผัดใส่ลงไปค่ะ ตุ๋นด้วยไฟอ่อนจนน้ำซุปงวด พักไว้
  4. ตั้งกระทะอีกรอบ นำน้ำซุปที่ได้มาเคี่ยวกับแป้งข้าวโพดหรือแป้งอเนกประสงค์ ใส่แป้งประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะก็พอค่ะ ปรุงรสตามชอบ
  5. เวลาเสิร์ฟ เรานำน่องไก่มาราดด้วยน้ำซุป มันจะข้นๆคล้ายเกรวี่ รสชาติเค็ม มัน หวานนิดๆ

ได้เมนูอาหารกลางวันอร่อยๆมาอีกเมนูแล้วนะคะ เมนูนี้มีคนทำไว้หลายวิธี แม่บ้านทั้งหลายอาจลองไปเยี่ยมชมตามเวบไซต์ต่างๆ และประยุกต์มาเป็นสูตรของเราเอง ขอให้สนุกกับอาหารฝีมือตัวเองนะคะ อร่อยบ้าง ไม่อร่อยบ้างแต่มันชื่นใจ ^^

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สปาเกตตี้แกงเขียวหวานหมู



ความรู้รอบตัวเล็กๆน้อยๆ ที่แม่บ้านควรทราบคือ สปาเกตตี้ (Spaghetti) เป็นพาสต้าชนิดหนึ่ง พาสต้าเป็นชื่อรวมๆ ที่ใช้เรียกก๋วยเตี๋ยวฝรั่งทำจากแป้ง จากนั้นมีการใส่ส่วนผสมหลากหลายชนิด รวมทั้งผลิตออกมาเป็นรูปร่างแบบต่างๆ ชวนให้งงเล่น พาสต้านั้น ถ้าแบ่งจากรูปร่างลักษณะแล้ว มีราว 20 กว่าชนิดค่ะ ที่เรารู้จักกันดี คงเป็น macheroni (พาสต้าหลอดๆ), Lasagna ( พาสต้าแบบแผ่น),Fusilli (พาสต้าเกลียว), Penne (พาสต้าหลอดปลายตัด) และ spaghetti (พาสต้าเส้นยาวบางๆ)
ถึงแม้พาสต้า จะเป็นสัญลักษณ์ของครัวอิตาเลียน แต่จริงๆ แล้วพาสต้ามีต้นกำเนิดจากจีนแผ่นดินใหญ่ ว่าไปแล้วก็เป็นพี่น้องกับก๋วยเตี๋ยวของชาวจีนนั่นเอง เมื่อนักเดินเรือ Marco Polo ได้เดินทางไปประเทศจีน เค้าก็ได้นำอาหารชนิดนี้กลับมาโด่งดังในทวีปยุโรป ความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทำให้การปรุงพาสต้าแตกต่างกันไป และมีความหลากหลายอย่างมากค่ะ
สำหรับครัวไทย พาสต้านำมาประกอบอาหารไทยได้อร่อยหลายเมนู วันนี้เมนูที่จะนำเสนอคือ สปาเกตตี้แกงเขียวหวานหมู วิธีการทำวันนี้จะเน้นที่การเตรียมเส้นสปาเกตตี้ ให้เหนียว นุ่ม ดึ๋งดั๋งนะคะ ก่อนอื่นเอาส่วนผสมไปก่อนค่ะ
  • เส้นสปาเกตตี้
  • เนื้อหมูหั่นเต๋า
  • น้ำพริกแกงเขียวหวาน
  • กะทิอย่างดี
  • น้ำมัน
  • น้ำปลาดี
  • ใบโหระพา
  • พริกชี้ฟ้า
  • เห็ด
วิธีการเตรียมเส้นสปาเกตตี้ : ต้มน้ำให้สุกในหม้อขนาดใหญ่ ใส่น้ำ 1/2 หรือ 3/4 ของหม้อ ต้มจนน้ำเดือดปุดๆ จากนั้นเติมเกลือป่นลงไปสักเล็กน้อย ทิ้งไว้จนน้ำเดือด แล้วใส่เส้นสปาเกตตี้ลงไป วางเส้นแนวตั้งค่ะ อย่าให้เส้นหักนะคะ ส่วนมากใช้เวลาต้มไม่เกิน 10 นาที คนเส้นนานๆทีเพื่อไม่ให้เส้นติดก้นหม้อ อาจทดสอบด้วยการจับเส้นสปาเกตตี้ดูค่ะว่าหยุ่นๆรึยัง ภาษา Chef เค้าเรียกว่า pasta reaches al dente คือ เส้นเหนียวนุ่ม แต่ไม่แข็ง เมื่อสุกแล้วเราเทน้ำต้มออกค่ะและนำเส้นไปผ่านน้ำเย็น และพักให้สะเด็ดน้ำ

หลังจากนั้นเรามาเตรียมส่วนของแกงเขียวหวาน วิธีการไม่ยุ่งยาก เริ่มจากคั่วน้ำพริกแกงจนหอม และหยอดหัวกะทิลงไปผัดจนแตกมัน จากนั้นนำเนื้อหมูลงไปผัด เมื่อเนื้อหมูสุก เติมหางกะทิไปอีกเล็กน้อย พร้อมผักที่เราเตรียมไว้ ปรุงรสตามชอบค่ะ เวลาเสิร์ฟ จะชอบเอาแกงเขียวหวานมาคลุกเส้น เพราะเส้นจะไม่เละและดูสวย ถ้าเอาลงไปผัด อาจเละ และไม่สวยได้ อันนี้แล้วแต่เทคนิคแม่บ้านนะคะ

เมนูง่ายๆแบบนี้ รีบลองทำรับประทานเลยค่ะ