วันเสาร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2554

ลาบหมู (สไตล์เมืองเหนือ)


ไม่ได้กลับบ้านมาเกือบครึ่งปี คิดถึงอาหารเหนือ เมนูนี้ไม่ยิ่งหย่อนกว่าเมนูอื่นๆ "ลาบหมู" เป็นอาหารที่ชาวเหนือนิยมทำรับประทานกันเวลามีเทศกาล โอกาสพิเศษ หรืองานเลี้ยง ลาบหมูแบบเหนือนั้นแตกต่างจากลาบอีสานค่ะ รสชาติไม่ได้ออกเปรี้ยว แต่ออกเผ็ด เค็ม มัน ชาวเหนือนิยมรับประทานลาบกัน 2 แบบคือ แบบดิบ (ลาบดิบ) และแบบสุก (ลาบคั่ว) ลาบดิบนั้น เค้าจะนำเนื้อหมู/ควาย/วัว รวมทั้งเลือดสดๆ และเครื่องในมาคลุกเคล้ากับเครื่องปรุงและน้ำพริกลาบรสเผ็ด เพื่อกลบกลิ่นคาว และรับประทานกันดิบๆ .. อันนี้ ถึงเกิดและเติบโตมาทางเหนือ ก็ไม่เคยรับประทานและทำใจรับประทานไม่ได้ แต่เมนูที่จะเอามาให้หัดทำกันวันนี้ เป็นลาบหมูแบบสุก หรือที่คนเหนือเรียก "ลาบคั่ว" ค่ะ มาดูส่วนผสมเลยนะคะ

ส่วนผสม
  1. น้ำพริกลาบ (สำคัญค่ะ เป็นตัวชูกลิ่นชูรส ต้องไปซื้้อถึงถิ่นค่ะ ..รอบนี้คุณแม่พกมาจากเมืองไทยเลย)
  2. หมูสับ
  3. เครื่องใน (ตับ และไส้)
  4. หอมแดงซอยเป็นแว่น
  5. พริกแห้ง
  6. ใบสะระแหน่
  7. ผักกับลาบ (คนเหนือเค้าเรียก ผักที่รับประทานคู่ลาบว่า ผักกับลาบค่ะ ประกอบด้วย ผักกาดขาว กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง กระถิน ดอกแค มะเขือเปราะ และอื่นๆ ตามชอบใจค่ะ)
  8. น้ำมัน
  9. เกลือ,น้ำตาล
  10. น้ำปลาดี

วิธีทำ
  1. การทำลาบมีสองสูตรนะคะ คุณแม่บอกว่าสูตรดั้งเดิมแบบเหนือแท้ๆ เค้าจะเอาน้ำพริกลาบมาคลุกกับเนื้อหมูสับ เครื่องใน จนเป็นเนื้อเดียว เข้ากันดี และตักเสิร์ฟกันเลย ถ้ารับประทานแบบลาบสด แต่ถ้าไม่ชอบแบบสดๆ เราจะเอาเนื้อหมูสับที่คลุกเรียบร้อยไปผัดต่อค่ะ โดยเอาไปผัดในกระทะที่ตั้งน้ำมันไว้ร้อน และผัดจนเนื้อสุกทั่วถึงกันดี
  2. ส่วนสูตรคุณแม่นั้น (แม่เค้าบอกว่าของแม่อร่อยกว่า หอมกว่า) คุณแม่ให้เอาน้ำพริกลาบไปผัดน้ำมันให้หอมก่อนค่ะ จากนั้นใส่เนื้อหมูสับ เครื่องในลงไปผัดให้เข้ากันดี และเนื้อหมูสุก เป็นอันเสร็จ ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาลและน้ำปลา อย่าให้เค็มจัดนะคะ แต่ต้องออกรสเค็มนิดๆ และเผ็ด
  3. เจียวหอมแดงหั่นซอยในกระทะแยก ให้เหลือง กรอบ
  4. ก่อนเสิร์ฟโรยหน้าด้วยหอมแดงเจียว และตกแต่งด้วยใบสะระแหน่ เสิร์ฟพร้อมผักกับลาบค่ะ

รับประทานพร้อมข้าวเหนียวร้อนๆ มีน้ำซุปซักถ้วย เอาไว้รับประทานแก้เผ็ด รับรองอร่อยเหาะ ^^ ขอบคุณคุณแม่นะคะ สำหรับสูตรลาบหมู คุณแม่ไม่ใช่คนเหนือโดยกำเนิด แต่ด้วยพรสวรรค์และพรแสวง เลยทำอาหารเหนือได้เก่งไม่แพ้คนเหนือเลย ... อันนี้ถามคุณพ่อได้

ลำแต๊ๆ เน่อเจ้า

วันอังคารที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2554

คุณยายในความทรงจำ


มีคนบอกไว้ว่า ชีวิตเหมือนเกมโยนลูกบอล 5 ลูกสลับไปมาในอากาศ นักเล่นกลต้องพยายามเลี้ยงลูกบอลที่เป็นตัวแทนของ งาน,ครอบครัว,สุขภาพ,เพื่อน และจิตใจ ไม่ให้พลาดทำลูกบอลลูกใดลูกหนึ่งตกลงไป เคล็ดลับที่จะเล่นเกมนี้ให้ดี เราต้องรู้ความลับว่าในลูกบอล5 ลูกนี้ มีแค่ลูกเดียวที่เป็นลูกบอลยาง.... ว่าแต่มันคือลูกบอลลูกไหน

เฉลยให้เลยว่า งาน เป็นเหมือนลูกบอลยาง ในขณะที่ 4 ลูกที่เหลือเป็นลูกแก้ว ลูกบอลยางนั้นเมื่อทำตก มันไม่แตก และมีโอกาสเด้งกลับมาหาเราได้อีก แต่ลูกแก้วทั้ง 4 ลูกนั้น เมื่อตกแล้ว จะร้าว และยากที่จะซ่อมแซมให้สวยอย่างเดิม

ก่อนที่คุณยายจะเสีย ตัวเองเคยใช้ชีวิตที่มุ่งมั่นกับการรักษาลูกบอลยาง หลายครั้งปล่อยปละละเลยลูกแก้วทั้ง 4 ลูกให้ร่วงให้หล่น มีรอยขีดข่วน แต่ไม่เคยรู้สึกสะกิดใจเท่าตอนที่คุณยายเสีย .. จำได้ว่า แม่บอกว่าคุณยายมีปีที่ดีมาก ก่อนท่านจากไป สุขภาพแข็งแรงทั้งกายใจ อย่างที่ไม่เคยเป็น ลูกหลานดูแลเอาใจใส่ ตอนนั้นเรายังมุ่งมั่นเรียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำตัวเหมือนนักปีนเขา ที่ไต่จากยอดเขายอดนี้ ไปยอดที่สูงขึ้น โดยที่ไม่รู้จักพอ ใช้เวลาเกือบ 24 ชั่วโมง ทำงาน อ่านหนังสือ ค้นหาวิชาเรียนเพิ่ม สอบ ไปดูงานต่างประเทศ.. ไม่รู้ตัวเลยว่า แทบไม่ได้คุยกับคุณยายเลย มีแต่นึกถึง คิดถึงบ้าง แล้วก็ปล่อยผ่านไป..

ทุกครั้งที่นึกถึงคุณยาย จะนึกถึงช่วงเวลาที่ตัวเองยังเป็นเด็กประถม คุณยายเป็นคนทำอาหารเก่งมากโดยเฉพาะเมนูน้ำพริก แกงเผ็ดต่างๆ เวลาเลิกเรียนกลับมา ต้องได้กลิ่นกับข้าวหอมๆ ทุกครั้ง จำได้ว่าเคยนั่งดูคุณยายทำสารพัดน้ำพริก แต่เสียดายที่ไม่เคยจดสูตร ไม่งั้นป่านนี้คงได้อีกหลายเมนู นอกจากทำอาหารแล้วคุณยายเก่งเรื่องตัดเย็บด้วย เสื้อกางเกงทำได้หมด เวลายายอารมณ์ดี ก็จะพาไปซื้อผ้าสวยๆมาตัดชุดนอนให้ ซึ่งตอนเป็นเด็ก จะเห่อชุดนอนที่ยายตัดมาก เก็บเอาไว้ใส่อยู่หลายปี.. คุณแม่บอกว่า คุณยายเป็นคนที่เลี้ยงเรามามากกว่าคนอื่นๆ เพราะอาชีพของคุณพ่อคุณแม่ ไม่เอื้อให้มีเวลาดูแลมากมายนัก ส่วนมากชีวิตวัยเด็กของเราจึงมีแต่คุณยายและอาม่าที่ผลัดกันดูแลเอาใจใส่หลานๆ ทดแทนคุณพ่อคุณแม่ ..

หนึ่งปีก่อน วันที่ได้รับโทรศัพท์จากคุณแม่ว่า" ยาย อาการไม่ดี เส้นเลือดในสมองแตก" ตอนนั้นกำลังเดินทางไปประชุม หลังจากรับโทรศัพท์ อะไรหลายๆอย่างก็วิ่งย้อนไปย้อนมาในสมอง ถามตัวเองทันทีว่า " ห่างจากยาย ไปนานแค่ไหนแล้ว" ในช่วงเวลาที่เราเลือกที่จะปีนให้สูง ... เราทิ้งอะไรไว้ข้างหลังเราบ้าง .. และที่สำคัญ เราเหลืออะไรติดตัวบ้าง... จำได้ว่าคืนนั้น ร้องไห้ อย่างกับคนที่รู้สึกแพ้ ทั้งๆที่กอดถ้วยรางวัลไว้

งาน เป็นเพียงลูกบอลยาง แต่สิ่งที่เหลือ ไม่ว่าครอบครัว เพื่อน สุขภาพ จิตใจ เป็นของเปราะบาง ไม่มีโอกาสให้ทำเสียและซ่อมแซมได้บ่อยๆ ถ้าเราไม่รู้จักสร้างสมดุลให้กับชีวิต เกมโยนบอลนี้ จะขาดสมดุลและไม่มีทางจะเลี้ยงลูกบอลทั้ง 5 ลูกได้ และอาจต้องเสียลูกแก้วทั้ง 4 ลูกไป

ทุกวันนี้ เวลาว่างๆ คุณแม่มักจะเล่าความหลังสมัยคุณยายยังมีชีวิตเสมอ พวกเรายังระลึกถึงคุณยาย แม้ว่าจะเป็นเวลา 1 ปีแล้วที่คุณยายจากไป แต่สำหรับตัวเองนั้น การสูญเสียคุณยายเปลี่ยนแนวคิดอะไรหลายอย่างและทำให้เรามีมุมมองชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป..

วันที่ 8 พค. นี้จะครบรอบ 1 ปีคุณยายเสียชีวิต บทความนี้ขอมอบให้คุณยายนะคะ ถ้าคุณยายได้อ่านบทความนี้ (หวังว่าจะมีอินเตอร์เน็ทบนนั้นนะ) อยากบอกว่า คิดถึงคุณยายเสมอ ยังจำแกงจืดเต้าหู้หมูสับ และชุดนอนสวยๆที่คุณยายเย็บให้ได้ ถึงจะจำไม่ได้ว่าหอมคุณยายครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่ตอนนี้ ก็ยังได้กลิ่นแป้งจากแก้มของคุณยาย ^^



วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2554

แกงจืดมะระ ไม่ให้ขม (เทคนิคคุณแม่)



คนโบราณเค้าว่า" หวานเป็นลม ขมเป็นยา" เด็กๆ อาจเถียงว่า ยาเดี๋ยวนี้หวานออก ^^ นั่นก็เพราะมีการเติมน้ำตาลลงไปเพื่อกลบความขมของยามากกว่าที่ยานั้นๆ จะหวานด้วยตัวมันเองค่ะ และทุกครั้งถ้าพูดถึงของขมๆ ต้องนึกถึง "มะระ" เลยนะคะ มะระเป็นไม้เลื้อยในวงศ์แตง ผลของมันมีรสขม แต่ชาวจีนเชื่อว่าเป็นยอดอาหารค่ะ มะระมีอยู่ 2 พันธุ์คือมะระจีนและมะระขี้นก โดยสรรพคุณทางยานั้นมีการศึกษาในมะระขี้นกมากกว่า โดยเฉพาะการเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง มะระขี้นกเค้าเด่นเรื่องนี้
คนไทยเรานิยมนำมะระมาปรุงอาหารหลายรูปแบบ เรียกว่าไม่กลัวขม แต่ที่นิยมมากคงเป็นแกงจืดมะระ บอกได้เลยว่าสำหรับตัวเองแกงจืดมะระเป็นเมนูที่ลำบากใจจะทำที่สุด เพราะถ้าจะทำให้ขมน้อย และอร่อยนี่ยากจริงๆ สุดสัปดาห์นี้โชคดี ได้มีโอกาสเรียนรู้เทคนิคการตุ๋นมะระจากคุณแม่ เลยได้แกงจืดมะระยัดไส้หมูสับ มาเป็นเมนูอาหารเย็นสำหรับวันอากาศร้อนๆ ในซาน ฟรานซิสโกค่ะ

คุณแม่เผยเคล็ดลับ ที่แอบเอามาจากคุณยายอีกทีว่า วิธีทำแกงจืดมะระไม่ให้ขม มีดังนี้
  1. ล้างมะระให้สะอาด คว้านเมล็ดออกให้หมด จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเกลือ หรืออาจโรยเกลือก็ได้นะคะ
  2. การยัดไส้หมูสับไม่มีผลต่อรสขมค่ะ แต่มีผลต่อรสอาหาร หมูสับที่นำมายัดไส้ ต้องหมักด้วยพริกไทย ซีอิ๊วขาว ให้มีกลิ่นหอม
  3. ต้มน้ำแกงให้เดือด (อย่าลืมใส่กระดูกหมูหรือจะใส่ซุปก้อนก็ได้) เอามะระยัดไส้ใส่ลงตอนน้ำเดือดค่ะ
  4. ห้ามคนเด็ดขาด อันนี้คุณแม่ย้ำมากๆ ปิดฝาและรอสักพักก่อนลดไฟลงเพื่อตุ๋นมะระให้นิ่ม ยิ่งตุ๋นนาน ความขมจะลดลง
  5. บางคนจะเติมผักกาดดองลงไปเพื่อตัดรสขมของน้ำแกงค่ะ คุณแม่ก็ใส่ผักกาดดอง บอกว่าน้ำแกงจะกลมกล่อมมาก แล้วปรุงรสด้วยซีอิ๊วหรือเกลือ เป็นอันจบ

ทำไปลุ้นไปมากค่ะ กลัวออกมาแล้วขม จนรับประทานไม่ได้ ไอ้ด่างแถวซาน ฟรานซิสโก ก็กินมะระไม่เป็นซะด้วย พอเสร็จตักใส่ชามสวยๆ ไปให้คุณพ่อชิมเป็นคนแรกเลย รีบถามว่า "ขมมั้ย" แล้วลุ้นคำตอบจนตัวเกร็ง ก่อนคุณพ่อจะตอบว่า "ขมอร่อย ต้องรสนี้ถึงเรียกว่าแกงจืดมะระ" .. คุณลูกคุณแม่ก็หน้าบาน ไปตามระเบียบ

ขอบคุณแม่มากๆค่ะ สำหรับเคล็ดลับแกงจืดมัดใจป๊าชามนี้ ^^




วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย


ใครสงสัยว่าผัดไทย ทำไมต้องเรียกผัดไทย วันนี้จะเอาคำตอบมาเฉลย ผัดไทยมีมาแต่โบราณในชื่อ "ก๋วยเตี๋ยวผัด" ผัดไทยนั้นกลายเป็นที่รู้จักของคนต่างชาติตั้งแต่สมัย จอมพล ป. พิบูลย์สงคราม โดยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ท่านได้รณรงค์ให้ประชาชนหันมานิยมรับประทานก๋วยเตี๋ยว เพื่อลดการบริโภคข้าวภายในประเทศ เนื่องจากในช่วงนั้นสภาวะเศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ข้าวแพง และได้เปลี่ยนชื่อก๋วยเตี๋ยวผัดเป็น "ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย" ตามชื่อใหม่ของประเทศ ปัจจุบันเรียกกันโดยย่อเหลือเพียงแค่ "ผัดไทย"

วันนี้เอาสูตรผัดไทยมานำเสนออีกครั้งนะคะ คุณแม่ (ที่ปรึกษาส่วนตัวด้านทำอาหาร) แนะนำว่า ผัดไทยถ้าให้อร่อยต้องเครื่องครบ เส้นนิ่มแต่ไม่เละ รสเปรี้ยวหวานนำ ตามด้วยเค็มอ่อนๆ ไข่ต้องไม่เละมาก และถั่วลิสงบด ขาดไม่ได้ ไม่พูดมากแล้วค่ะ เรามาเริ่มที่ส่วนผสมดีกว่า

เครื่องปรุงและส่วนผสม

  1. ก๋วยเตี๋ยวเส้นจันทน์ แช่เส้นให้นิ่มในน้ำร้อนซักห้านาที และเอามาแช่ในน้ำเย็น จากนั้นนำมาตั้งให้สะเด็ดน้ำ
  2. เนื้อสัตว์ (ไก่หรือกุ้ง)
  3. ไข่ไก่
  4. หัวไชโป๊วสับ
  5. กุยช่ายเขียว
  6. ถั่วงอก (ล้างให้สะอาด ให้ขาวสวย จะน่ารับประทาน)
  7. น้ำมะขาม
  8. น้ำตาลปี๊บ
  9. เกลือ,น้ำปลา
  10. น้ำพริกเผา
  11. พริกแห้งผง
  12. ถั่วลิสงคั่วบด
  13. มะนาว

เริ่มลงมือกันเลยนะคะ

  1. ตั้งกระทะให้น้ำมันร้อน หลังจากนั้นนำน้ำพริกเผา น้ำตาลปี๊บและน้ำมะขามเปียกลงไปผัดค่ะ ขั้นตอนนี้จะชิมรสนะคะ อย่าให้เค็มหรือเผ็ดมากไปนะคะ
  2. ใส่เนื้อไก่ลงไปผัด (ถ้าเป็นกุ้ง แม่บอกว่าให้ลวกแยกต่างหาก อย่าเอาไปผัดรวมกัน เพราะกุ้งเละ ไม่สวยค่ะ)
  3. ใส่หัวไชโป๊ว เต้าหู้ ลงไปผัด
  4. จากนั้นใส่เส้นลงไปค่ะ ขั้นตอนนี้ใครจะชิมรสอีกก็ได้นะคะ สำหรับตัวเองมักชิมอีกรอบเพราะพอเอาเส้นลง รสจะอ่อนลงไปหน่อย อาจต้องเติมเครื่องปรุงค่ะ
  5. ถ้าขาดเค็มเติมน้ำปลา (มันได้กลิ่นน้ำปลา จะอร่อยกว่าใช้เกลือ)
  6. จากนั้นตอกไข่ลงไปค่ะ แยกเส้นไว้ด้านหนึ่งของกระทะ รอจนไข่สุกเอาไข่ลงไปคลุกนะคะ
  7. ปิดท้ายก่อนเสิร์ฟ เอากุยช่ายและถั่วงอกลงไปรวนค่ะ เป็นอันเสร็จ เวลาเสิร์ฟ โรยหน้าด้วยถั่วลิสงบดและมะนาวนะคะ พริกแห้งป่นเตรียมให้พร้อม คุณแม่บอกว่ารสไทย มันต้องเปรี้ยว หวาน เค็ม ถึงจะซี้ดซ้าด อร่อยโดนใจ ^^

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

มุมที่มอง


" พี่คะ เศร้ามากๆ แฟนที่รักกันไปมีคนอื่น ทำไงดี " มีน้องคนนึงมาปรึกษาค่ะ แหม.. ช่วงนี้ถี่มากๆนะคะ วันนี้เลยขอแอบอ้างเรื่องน้อง มาเขียนให้เพื่อนๆได้อ่าน เป็นอาหารใจ เล็กๆน้อยๆ นะคะ แชร์ความคิดกันค่ะ..

"แน่นอน ที่ใดมีรักที่นั่นย่อมมีทุกข์ แต่จริงๆ ถ้ามองให้ดีแล้ว เราก็ได้อะไรมากมายนะ จากความรักที่ล้มเหลว เวลาเราอกหัก เรามักจะนอนจมกับความอกหักไง มองไม่เห็นเลยว่าจะเดินหน้าต่อไปยังไง.. เอางี้นะคะ น้องลองคิดแบบนี้" ... ใครที่เคยมีความรัก มีคนรัก ก็ขอให้คิดเสียว่า เวลาที่เคยอยู่ร่วมกัน อย่างน้อยทั้งเราและอดีตคนรักเราได้ทำบุญทำกุศลร่วมกันไม่มากก็น้อย อย่างตัวเราเอง ตอนรักกัน เรารักเค้าอย่างไร หวังดี ห่วงใยดูแลกัน อยากให้แฟนเราเป็นสุขสบาย ก็ได้บุญ ยิ่งหวังดีอย่างบริสุทธิ์ใจยิ่งเป็นกุศล เรารักเค้า เราหมั่นซื้อของมาให้ หาของชอบให้รับประทาน ซื้อของขวัญให้ตามเทศกาล ก็เหมือนได้ทำอามิสทานไปในตัว บางคู่ก็พากันไปติวหนังสือ ไปเรียนพิเศษ ทำแลบด้วยกัน ก็เหมือนได้ทำวิทยาทานด้วยกัน บางทีเราคอยตักเตือนไม่ให้แฟนทำผิดศีล ออกนอกลู่นอกทาง ( จะฟังไม่ฟัง จะทำไม่ทำ ก็สุดแล้วแต่) เราก็เสมือนได้ให้ธรรมทาน แล้วนอกจากเราจะทำบุญกุศลต่อแฟนเราแล้ว เรายังเผื่อแผ่แจกจ่ายความปรารถนาดีและหวังให้ผู้อื่นเป็นสุข(เมตตา) ไปให้พ่อแม่พี่น้อง ครอบครัวของแฟนเราด้วย ยิ่งใครลงแรงกายไปช่วยดูแล ช่วยปรนนิบัติพ่อแม่แฟน ก็ยิ่งได้บุญได้กุศลมาก.. (น้องพยักหน้า แต่ยังดูโศกมาก)
" แต่ เค้าก็ทิ้งหนูไปแล้ว หนูทำดีแค่่ไหน เค้าก็ทิ้งหนู" ... น้องมองให้ดีนะคะ ขนาดตอนเค้าทิ้งเรา เค้าก็ยังทิ้งโอกาสให้เราทำกุศลเพิ่มอีก เค้าไม่มีความสุขเมื่ออยู่กับเราแล้ว เค้าก็ขอโอกาสไปหาความสุขจากคนอื่น ถ้าน้องปล่อยเค้าไป น้องคิดเสียว่าได้ทำทาน.. โดยให้อิสรภาพ เป็นทานไงคะ อิสรภาพที่จะไม่เป็นของเราอีก และได้ไปเป็นสุขกับคนใหม่ น้องจะกอดเค้าไว้ทำไมคะ เมื่อน้องกอดเค้าไว้กับตัว น้องมีแต่ทำบาปกับคนที่น้องรัก โดยไม่ให้เค้ามีความสุขอย่างที่เค้าควรจะได้จะเป็น ..... และสุดท้าย เมื่อเราให้เค้าเดินออกจากชีวิตเราแล้ว มองตามหลังเค้าไป โดยไม่ได้นึกโกรธ ไม่นึกอาฆาตพยาบาท มีแต่อวยพรให้เค้าจากไปเพื่อมีความสุข ก็เท่ากับทำอภัยทาน เป็นการส่งท้าย...

เค้าว่ากันว่า ของสิ่งเดียวกัน คนยืนต่างมุม ย่อมเห็นแตกต่างกันไปนะคะ ถ้ามุมที่เรายืนอยู่มันมืด มองไม่เห็นอะไรนอกจากความอับจนหนทาง ความหดหู่ เศร้าเสียใจ แทนที่จะล้มไปนอนร้องไห้ฟูมฟาย ขอให้ก้าวออกจากมุมที่เรายืนอยู่ เราอาจค้นพบว่า สิ่งเราเคยมองว่ามืดมนนั้น ที่จริงแล้วอาจเป็นตัวเราเอง ที่ยืนบังแสงสว่างอยู่...

ขอให้น้องคนนี้ของพี่ หายเจ็บ และฟื้นจากอกหักเร็วๆนะคะ พระอาทิตย์ขึ้นทุกเช้า แสงสว่างไม่หายไปไหน ยกเว้นเราใส่แว่นสีดำ ^^ พี่เป็นกำลังใจให้จ้า

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวกะเพราเนื้อ



กว่าจะรู้ตัวว่ามาอยู่ในจังหวัดที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อ ก็ปาไปเกือบครึ่งปี Alberta เป็นจังหวัดของแคนาดา ที่มีชื่อเสียงด้านปศุสัตว์ จนได้ชื่อว่าเป็น Cattle country โดยเฉพาะเนื้อวัว (beef) ว่ากันว่าอัลเบอร์ตาเป็นเมืองที่ผลิตเนื่อวัวได้อร่อยที่สุด ทราบเช่นนี้แล้ว ก็อดไม่ได้ค่ะ ที่จะหาเมนูเนื้อวัวมาทำรับประทานบ้าง แต่จะให้ทำอาหารฝรั่งแนวเสต็ก สตูว์ ก็ไม่ถนัดนัก เลยปิ๊งไอเดียที่จะทำ " ข้าวราดกะเพราะเนื้อ" ขึ้นมา จะว่าไปผัดกะเพราราดข้าวนี่เป็นอาหารสิ้นคิดสมัยเป็นนักเรียนเลยนะคะ และเชื่อว่านักเรียนไทยในต่างประเทศ เวลามาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองได้ซักพัก อาหารไทยที่คิดถึงที่สุด ก็น่าจะเป็นผัดกะเพราะไก่ไข่ดาว จริงมั้ยเอ่ย ^^ แต่วันนี้อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้น เราจะมาทำกะเพราเนื้อกันค่ะ
  • อย่างแรกสุด ก่อนจะใช้เนื้อที่เราซื้อมา ต้องล้างให้สะอาด ให้ไม่มีเลือดติดอยู่เลยค่ะ
  • ส่วนการเตรียมเนื้อนั้น เนื่องจากเนื่อวัวมีลักษณะแน่นและเหนียวกว่าเนื่อหมู หรือไก่นะคะ ดังนั้นก่อนนำมาปรุงต้องหมักให้นานพอสมควร และเติมน้ำมะนาวลงไปเล็กน้อย ให้กรดจากมะนาวไปย่อยไฟเบอร์เหนียวให้นุ่ม บางคนใช้น้ำสับปะรด ก็แล้วแต่สูตรค่ะ มีอีกสูตรที่ใช้แป้งข้าวโพดและนมสดมาหมักนะคะ อันนี้เลือกใช้ตามชอบ
  • การหั่น ก็มีผลต่อความเหนียวค่ะ พยายามหั่นตามแนวไฟเบอร์ และเลือกส่วนสันใน จะนุ่มกว่าส่วนอื่น แต่ในกรณีทำเสต็ก แนะนำซื้อค้อนทุบเนื้อมา ก็จะช่วยได้เยอะค่ะ
  • เครื่องปรุงอื่นๆ ได้แก่ ใบกะเพรา น้ำตาลปี๊บ น้ำมันหอย น้ำปลา พริกขี้หนูสับ กระเทียม น้ำมันโอลีฟ
  • วิธีทำก็แสนง่ายค่ะ ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันลงไป 1 ช้อนโต๊ะ รอจนน้ำมันร้อน นำกระเทียมไปผัดจนมีกลิ่นและนำเนื้อลงไปผัด เติมน้ำมันหอย น้ำปลา น้ำตาล ชิมรสตามชอบ แล้วใส่ใบกะเพราลงไปคลุกเป็นขั้นสุดท้ายค่ะ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ อาจมีไข่ดาวคู่ด้วยก็จะช่วยบาลานซ์รสเผ็ดจากผัดกะเพราได้ดีมากค่ะ แต่ถ้ามีโรคประจำตัวเป็นโรคหัวใจ เลี่ยงไข่นะคะ และอย่ารับประทานเนื้อแดงบ่อย ^^
ขอให้รับประทานให้อร่อย พร้อมทั้งมีสุขภาพดีค่ะ.. แม่ครัวป่วย เห็นทีต้องขอลาไปนอนพัก เอาแรงไว้ทำเมนูต่อไป

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวยำไก่แซ่บ


ปกติไม่ค่อยรับประทาน fast food นะคะ แต่เมนูนี้ของเคเอฟซี ต้องยอมรับว่าติดอกติดใจมานานแล้ว เวลาไม่รู้จะรับประทานอะไร ก็ต้องไปตายรังที่ข้าวยำไก่แซ่บของเคเอฟซีทุกที วันนี้ขอขโมยไอเดียของทางร้านมาทำรับประทานเองที่บ้านบ้าง ต้องขอบพระคุณเจ้าของไอเดียมา ณ ที่นี้ค่ะ
ขั้นตอนไม่ยากนะคะ แบ่งเป็นส่วนของไก่และยำ มาเริ่มกันเลย
เครื่องปรุงไก่
  1. เนื้อไก่ ใช้ส่วนน่องติดสะโพกจะทอดง่ายกว่าอกนะคะ
  2. แป้งเอนกประสงค์
  3. ไข่
  4. เกลือ พริกไทย พริกป่น
  5. น้ำมันโอลีฟ

เครื่องปรุงยำ (น้ำตก)
  1. พริกแห้งป่น
  2. ข้าวคั่ว
  3. น้ำปลา
  4. น้ำมะนาว
  5. ใบสะระแหน่ หอมแดงหั่น ต้นหอม ผักชี
วิธีทำ
  1. นำไก่มาหมักด้วยเกลือป่น ราวครึ่งชั่วโมง จากนั้นเอาไก่ไปชุบแป้งอเนกประสงค์แห้งๆก่อน(บางๆนะคะ) แล้วเราเอาไปชุบไข่ต่อ ต่อด้วยเอาไปชุบแป้งอเนกประสงค์ที่ละลายน้ำไว้ (ใช้แป้งซัก 2-3 ช้อนโต๊ะ) ต้องเอาให้ทั่วนะคะ
  2. นำไก่ไปทอด ในน้ำมันเดือด ให้น้ำมันท่วมไก่เลยนะ (ไว้อาลัยให้กับปริมาณแคลอรี่ แต่ช่างมัน)
  3. รอจนหนังกรอบเหลื่อง ยกไก่มาพักให้สะเด็ดน้ำมันและซับด้วยทิชชูอีกครั้งค่ะ
  4. ต่อมาเรามาเตรียมส่วนของยำ หรือ น้ำตกกันนะคะ อันนี้ไม่ยากให้ใส่พริกป่น ข้าวคั่ว น้ำปลา น้ำมะนาวลงในถ้วยปรุงจนได้รสชาติที่ชอบ จากนั้นใส่หอมแดง ต้นหอมตามลงไป
  5. เอาไก่ทอดที่ฉีกเป็นชิ้นๆ ใส่ลงไป และคลุกให้เข้ากัน โรยหน้าด้วยใบสะระแหน่ เป็นอันจบค่ะ
สำหรับคนที่ขี้เกียจเตรียมไก่ ก็สามารถซื้อไก่ทอดจากร้านมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วคลุกด้วยน้ำตกได้ค่ะ ^^ ขอให้เอร็ดอร่อยกันนะคะ

วันเสาร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2554

ไข่พะโล้สูตรโบราณ


สูตรนี้สำหรับรับประทาน 4-5 คนนะคะ สูตรนี้ไม่ใช้ซีอิ๊วดำค่ะ
เครื่องปรุง :
  1. ไข่เป็ดต้มสุก ปอกเปลือก 4-6 ฟอง
  2. เนื้อหมูติดมัน 400 กรัม
  3. เต้าหู้
  4. น้ำตาลปี๊บ 2 ก้อน
  5. กระเทียม
  6. โปยกั๊ก อบเชย หาไม่ได้เลยใช้ผงพะโล้ 1 ช้อนโต๊ะ แทน
  7. น้ำมันโอลีฟ 1 ช้อนโต๊ะ
  8. ผักชี หรือ parsley
วิธีทำ:
  1. ตั้งกระทะให้ร้อน ใส่น้ำมันมะกอก แล้วเอากระเทียมไปเจียวให้หอมแต่อย่าให้ไหม้
  2. เอาน้ำตาลปี๊บลงไปผัดค่ะ (มือใหม่แนะนำให้ลดไฟนะคะ เจ้าของสูตรบอกว่าเอาไฟกลาง) ค่อยๆเคี่ยวจนน้ำตาลละลาย และเปลี่ยนสีเป็นสีน้ำตาลเข้มๆ ขั้นนี้สนุกอย่างที่เจ้าของสูตรเค้าว่าไว้จริงๆ
  3. พอน้ำตาลเปลี่ยนสีปุ๊บเอาหมูที่เราหั่นเตรียมไว้ไปผัด ให้น้ำตาลปี๊บเคลือบหมูให้ทั่ว ใส่ไข่และเต้าหู้ ผัดจนเนียนเข้ากันดี จากนั้นเติมน้ำค่ะ ใครชอบขลุกขลิกก็เติมน้ำน้อยหน่อย ส่วนตัวชอบน้ำเยอะๆ เลยใส่ไปสองถ้วยค่ะ
  4. ตั้งไฟกลางและค่อยๆลดเป็นไฟอ่อน ตอนนี้เติมผงพะโล้เพื่อให้ได้กลิ่น ใครมีโปยกั๊ก อบเชยก็เอามาใส่ค่ะ แล้วเติมเกลือ ให้มันตัดรสหวานของน้ำตาลปี๊บ ค่อยเติมค่อยชิมไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเจอรสที่เราต้องการ เคี่ยวไว้ซัก 1 ชั่วโมงนะคะ เป็นอันเสร็จ
  5. ตักรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยล้ำ ^^


น้ำพริกหนุ่ม หมูทอด




เทศกาลมหาสงกรานต์ กำลังจะผ่านไปแล้วนะคะ ท่านผู่อ่านคงได้ใช้เวลาวันหยุดเทศกาลนี้อย่างชุ่มฉ่ำทั้งกาย ทั้งใจ
พูดถึงสงกรานต์ทีไร ใครเลยจะอดคิดถึง "เชียงใหม่" ไหว และถ้าพูดถึงเชียงใหม่ ใครหนอจะไม่คิดถึงน้ำพริกหนุ่ม หมูทอด แคปหมูและข้าวเหนียวร้อนๆ สมัยเป็นนักเรียน แก๊งค์ของเราจะมีร้านประจำ คือร้านไก่นางฟ้า อยู่แถวๆ สุริวงศ์ book center ร้านนี้เจ๋งตรงที่จะเปิดร้านใกล้เที่ยงคืนค่ะ น้ำพริกหนุ่ม หมูทอด ไส้ย่าง นี่เป็นเมนูประจำเลย คิดถึงเมื่อไหร่ก็น้ำลายไหล นอกจากร้านนี้แล้ว พวกเราก็เป็นขาประจำของร้านรถเข็น (คุณป้าเค้าชื่ออะไร จำไม่ได้ละ) แกจะเข็นอาหารพวกน้ำพริก หมูย่าง ข้าวเหนียว ที่เราเรียกกันเล่นๆว่า คอมโบ เซ็ท มาขายหน้าตึก gross anatomy ทุกๆเช้า ...
ในเมื่อความคิดถึงมันห้ามไม่ไหว วันนี้เลยลงมือทำเมนูในดวงใจ "น้ำพริกหนุ่ม หมูทอด" ให้หายอยาก ในส่วนหมูทอด จริงๆแล้ว จะเป็นหมู ไก่ หรือเนื้อสัตว์อะไร แล้วแต่ความชอบนะคะ กระบวนการทำคงไม่ยากเย็นอะไร เริ่มจากนำหมูมาหมักด้วยซีอิ๊วขาว น้ำมะนาวเล็กน้อยและพริกไทย ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อยเนื้อหมูจะได้นุ่มนิ่ม ส่วนผสมเข้าเนื้อ ถึงนำมาทอด เวลาทอดระวังเรื่องน้ำมันด้วย อย่าใช้น้ำมันเก่าๆ เพราะไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วยังทำให้สีของหมูทอดไม่น่ารับประทาน
ส่วนของน้ำพริกหนุ่ม มีดังนี้ค่ะ : พริกหนุ่ม-หอมแดง-กระเทียมย่างไฟ กะปิหรือเกลือ ต้นหอม ผักชี วิธีทำไม่ซับซ้อนค่ะ หลังจากย่างพริก หอมแดง กระเทียมแล้ว แกะเปลือกออก และนำมาโขลกให้ละเอียด ปรุงรสด้วยน้ำปลาหรือเกลือตามชอบ สำหรับคนที่หาพริกหนุ่มไม่ได้ อาจลองใช้พริกแมกซิกัน หรือพริกชี้ฟ้าดู ลองๆไปว่าพริกชนิดไหนทำแล้วให้รสใกล้กับพริกหนุ่มบ้านเรา
ชั้นตอนสุดท้าย.. รับประทานละค่าาาาา วะฮาฮ่าาา

วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2554

โดดเดี่ยว (ไม่) เดียวดาย


ช่วงนี้มีคนมีปัญหาหัวใจมาปรึกษาเยอะค่ะ โดยส่วนตัวแล้ว..เวลาใครจะก้าวเข้าสู่ความสัมพันธ์ใหม่ๆ สิ่งแรกที่อยากแนะนำ คือให้หยุดคิด และถามตัวเองก่อนว่า เราเป็นคน โดดเดี่ยว หรือ เราเป็นคนเดียวดาย

คนโดดเดี่ยว เป็นคนเดียวดายที่มีสุขภาพ (ทางใจ) ที่ดีแล้ว มีความเต็มในใจตัวเอง และพร้อมที่จะเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ คนโดดเดี่ยวอาจเป็นคนเดียวดายมาก่อน หรือ ไม่เคยเดียวดายเลยก็ได้นะคะ

มีเพลงที่ว่า คนเหงาสองคนมาเจอกัน เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นได้บ่อยแต่คุณภาพในการอยู่ร่วมกันนั้น ต้องวัดกันค่ะว่าอัตราส่วนของความโดดเดี่ยว หรือความเดียวดายในแต่ละคน อะไรมากกว่ากัน .. อย่าเพิ่งงงนะคะ ข้อคิดเรื่องนี้ฟังมาจากพี่ชายที่เคารพ ไม่ได้คิดเองค่ะ .. ถ้าเรามองว่าทุกความสัมพันธ์อยู่บนพื้นฐานของการให้ คนเดียวดาย แทบจะปฏิบัติตามกฏพื้นฐานข้อนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ความเดียวดายจะผลักให้ความสัมพันธ์ เป็นเรื่องของการร้องขอ ต้องมีชั้น เธอถึงมีความสุข หรือไม่ก็ ความสุขของผม คือคุณเท่านั้น.. นี่เป็นตัวอย่างความรักของคนเดียวดาย ถ้าคุณเป็นคนโดดเดี่ยว ที่ไม่เดียวดาย ความรักของคุณจะไม่จำกัดแค่ผู้หญิงคนนี้ หรือผู้ชายคนนี้ แต่มันจะเป็นความรักบนพื้นฐานที่คุณมีความเต็มอิ่มในตัวคุณแล้ว เมื่อคุณมีมากพอ คุณก็จะให้ได้มากขึ้น โดยไม่มีข้อจำกัด และไม่เรียกร้องการให้กลับ..

คนที่รอคอยใครซักคนเดินเข้ามาในชีวิต.. ตอบตัวเองก่อนนะคะ ว่าวันนี้เราโดดเดี่ยวหรือแค่เดียวดาย ถ้ายังแค่เหงา ขอให้ใช้เวลากับตัวเองให้มากขึ้น เรียนรู้ตัวเอง และทำความเข้าใจตัวเอง เพื่อสร้างใจให้มีกำลัง และเปลี่ยนสถานะตัวเองมาเป็นคนโดดเดี่ยวซะก่อน และเมื่อเวลานั้นมาถึง ค่อยเอากำลังใจ จากใจที่มีกำลัง ให้คนสำคัญคนนั้นนะคะ

เนื้อหาวันนี้ ไม่ใช่ "อาหารกาย" แต่เป็น "อาหารใจ" .. ขอให้โชคดีกันทุกคนค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

อยากผัดผักให้อร่อย

ผัดผักเป็นอาหารที่ทำได้ง่าย แต่ทำให้ออกมาดูสวยและอร่อยไม่ง่ายเลยนะคะ ผัดผักจานแรกของ Buddy Bento ออกมาหน้าตาน่าเกลียดมาก ผักดูเหี่ยว ดำ ทำรอบสองก็กลายเป็นว่า แข็ง ไม่สุกดีซะงั้น โชคดีมีผู้รู้จดเคล็บลับใส่กระดาษมาให้ เค้าว่าเป็นเคล็ดลับที่พ่อครัวตามภัตรคารจีนใช้กันค่ะ มี 2 เทคนิคนะคะ

1. ต้มน้ำให้เดือด แล้วนำผักที่จะผัดลงไปลวกค่ะ คอยสังเกตจนผักเปลี่ยนสี เพราะผักแต่ละชนิดสุกง่าย ยากไม่เท่ากันค่ะ พอผักเริ่มเปลี่ยนสี เป็นสีสวยตามที่ต้องการปุ๊บ ให้นำขึ้นแล้วราดหรือแช่ด้วยน้ำเย็นจัด เพื่อล็อคสีของผัก และทำให้ผักกรอบมากขึ้น บางคนจะเติมเกลือไปเล็กน้อยด้วยค่ะ จากนั้นสะเด็ดน้ำให้แห้งแล้วนำไปปรุงตามชอบได้เลยนะคะ

2. อีกวิธีนึงคือ ลวกผักตามข้อ 1 ค่ะ แต่แทนที่จะเอาลงกระทะไปผัด เค้าให้ปรุงน้ำราดแยกต่างหาก จากนั้นเอามาคลุกที่หลังและเสิร์ฟได้เลยค่ะ

สองวิธีนี้ ไม่รับประกันว่าจะเสียวิตามินจากการลวกไปมากน้อยเท่าไหร่นะคะ แต่ที่แน่ๆ สีผักจะสวย น่ารับประทานค่ะ ^^

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

Chicken Green Curry with Naan bread



ถ้าใครเคยรับประทานอาหารอินเดีย ต้องคุ้นเคยกับขนมปังแบนๆ ที่เรียกว่า นาน (Naan) คนอินเดียรับประทานขนมปังนาน ถ้าเปรียบเทียบก็เหมือนคนไทยรับประทานข้าว เรียกว่าเอามาประกบคู่อาหารสารพัดและเอามาดัดแปลงไปหลายรูปแบบ วันนี้ไปจ่ายตลาดเจอเข้า ก็รีบซื้อเลย เพราะติดใจความเหนียวนุ่ม จากนั้นก็กลับมานั่งนึกว่าจะรับประทานกับอะไรดี เลยนึกถึง "แกงเขียวหวานไก่" ที่ปกติ คนไทยเราชอบรับประทานคู่ข้าวสวยหรอขนมจีน

แกงเขียวหวานไก่เป็นเมนูที่สาวไทยทำได้แทบทุกคนนะคะ แต่ว่าอร่อยหรือไม่ เค้าว่าขึ้นกับ 3 ปัจจัย
1. กะทิ กะทิที่ใช้ ถ้าเป็นกะทิคั้นสดเลย อย่างที่เห็นตามตลาดเนี่ย เค้าว่าดีที่สุด แต่คงหาไม่ได้นะคะ โดยเฉพาะถ้าอยู่ต่างประเทศ ก็ต้องเลือกกะทิสำเร็จรูปแทน ส่วนยี่ห้อไหน ให้รสชาติยังไง ยอมรับว่าไม่ชำนาญขนาดนั้นค่ะ แต่เท่าที่ลองมา กะทิ made in Thailand ดูดีที่สุด กะทิจะมี 2 ส่วนนะคะ คือ หัวกะทิและหางกะทิ ส่วนตัวจะใช้หัวกะทิผัดจนแตกมัน แล้วเติมหางกะทิ ผสมกับน้ำต้มสุก ในอัตราส่วน 3:1 เพราะไม่อยากรับไขมันจนเกินพอดี 55 บางคนก็ใช้นมพร่องมันเนย แทนหางกะทิ อันนี้แล้วแต่สูตรค่ะ
2. น้ำพริกแกงเขียวหวาน อันนี้คงเหมือนแกงทุกชนิดนะคะ ที่หัวใจต้องอยู่ที่รสของน้ำพริกว่าอร่อยแค่ไหน แม่บ้านยุคใหม่คงไม่มีเวลามานั่งตำน้ำพริกกันนะคะ ก็เลือกแบบสำเร็จรูปแทน ส่วนตัวคิดว่า ต้องระมัดระวังนิดนึงที่ น้ำพริกสำเร็จมักมีรสเค็มจัด เวลาใช้ ต้องกะปริมาณให้ดี
3. การผัดน้ำพริก ต้องแตกมัน หอมไปสุดซอยเท่านั้น ถึงจะการันตีรสชาติ และอย่าลืมเปิดที่ดูดควันค่ะ 55

วิธีทำ คงไม่ต้องพูดมากมายนะคะ เหมือนเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน ขั้นตอนไม่วุ่นวายค่ะ เริ่มด้วยการผัดน้ำพริกจนหอม เติมหัวกะทิลงไปผัดจนแตกมัน แล้วค่อยๆใส่หางกะทิ เนื้อสัตว์ และผักตามลงไปทีหลัง เป็นอันจบพิธี จะรับประทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ขนมจีน หรือ นาน อย่างวันนี้ก็ได้ค่ะ ^^ Bon Appetit !!

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ข้าวมันไก่ (Hainanese Chicken rice)


แปลกมาก ตอนอยู่เมืองไทย ข้าวมันไก่เป็นตัวเลือกสุดท้าย เพราะอ้างว่ากลัวอ้วนบ้าง นั่นนี่โน่น ไม่กิน แต่ทันทีที่ออกนอกประเทศ ข้าวมันไก่ เป็นอาหารไทย เมนูแรกๆ ที่คิดถึงมากๆ และเป็นเมนูแรกที่หัดทำด้วยนะคะ
เครื่องปรุงและส่วนผสม :
1. เนื้อไก่ติดหนัง (ชอบใช้อกไก่ ส่วนที่ติดกระดูกค่ะ ไม่รู้ว่าคนอื่นใช้ส่วนไหนกัน)
2. เครื่องใน ( ไม่ชอบเครื่องใน เลยไม่ใส่นะคะ)
3. น้ำซุปไก่
4. ข้าวหอมมะลิ
5. ขิงสด
6. เนยคุณภาพดี หรือมาการีน
7. กระเทียม ต้นหอม ผักชี
ส่วนผสมน้ำจิ้ม :
1. เต้าเจี้ยว
2. พริกขี้หนู
3. น้ำตาล
4. ซีอิ๊วดำ, ขาว
5. น้ำมะนาว (อันนี้สูตรส่วนตัวค่ะ)
6. ขิงสับ
วิธีทำ :
  1. ต้มน้ำประมาณ 3-4 ถ้วยตวง เติมเกลือเล็กน้อยและขิงสดหั่นเป็นแว่น ใครอยากให้หอมมาก ก็ใส่ขิงเยอะหน่อยต้มจนน้ำเดือด แล้วเอาเนื้อไก่ที่เอาส่วนหนังออกแล้วใส่ลงไป ห้ามคนนะคะ เดี๋ยวน้ำซุปไม่ใส ไม่น่ากิน ค่อยๆช้อนฟองออก หลังจากนั้นเราไปตั้งกะทะค่ะ เอาหนังไก่ผัดกับน้ำมัน หรือเนย หรือมาการีนก็ได้ ส่วนตัวชอบใช้มาการีนอ่ะ เจียวจนน้ำมันมันเยิ้มมมม อกกมาเลยนะคะ (อันนี้ต้องกลั้นใจ ไม่คำนึงถึงแคลอรี่ เพราะไม่มัน มันก็ไม่อร่อย) พอหนังไก่สุกเหลืองก็ตักออกค่ะ
  2. เอาข้าวหอมมะลิลงไปผัดน้ำมันหนังไก่ เรียกงี้ละกันนะ จนเยิ้มมมม แล้วก็เอาไปหุงนะคะ ใช้น้ำซุปไก่ที่เราเตรียมไว้ตั้งแต่ตอนแรก ใส่ขิงฝาน และกระเทียมสดลงไปด้วยนะ ( ส่วนตัว หุงด้วยหม้อหุงข้าวค่ะ แต่เคยลองหุงด้วยไมโครเวฟเหมือนกัน ก็ง่ายดีนะคะ แต่ต้องคนบ่อยหน่อยเพราะความร้อนมันกระจายไม่ค่อยทั่ว)
  3. ไก่ที่ตัมสุกตักพักไว้นะคะ เอาไว้หั่นตอนเสิร์ฟ ดูเหมือนร้านดี 555
  4. ระหว่างรอข้าวสุก เราก็มาทำน้ำจิ้มกัน ใช้เต้าเจี้ยวอย่างดี สองช้อนโต๊ะ เติมน้ำตาล ซีอิ๊วขาวและดำ น้ำมะนาวให้ใส่ครึ่งช้อนชา จากนั้นใส่ขิงสับ พริกขี้หนูสับ รสต้องออกเค็มนำ ตามด้วยเผ็ด หวาน เปรี้ยวนิดๆ (ความชอบส่วนตัว) ไม่รู้ทำไม พอใส่น้ำมะนาวไปจิ๊ดนึงแล้วมันกลมกล่อม
  5. ข้าวสุกแล้ว ก็หั่นไก่ ตักเสิร์ฟ พร้อมผักเคียง เช่นแตงกวา แต่งหน้าด้วยผักชี หรือ parsley ก็ได้นะคะ แล้วก็มีน้ำซุปใส รสเบาๆ อีกซักถ้วย ... ซี้ดดดมากค่าา

ไม่ยากเลยนะเนี่ย ลองทำกินกันนะคะ


วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

ซากุระ ความเปลี่ยนแปลง และข้าวหน้าไก่



ดอกซากุระ ( or cherry blossom) จริงๆแล้วเป็นดอกของต้นเชอร์รี่ ว่ากันว่าญี่ปุ่นมีต้นเชอร์รี่กว่า 200 ชนิด แต่ที่พบได้มากที่สุด จะให้ดอกสีขาวแต้มด้วยสีชมพูอ่อนตรงโคนกลีบ เรียกว่าพันธุ์ Somei-yoshino หรือ Yoshino cherry ถ้าไม่เกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงในญี่ปุ่นเสียก่อน คนญี่ปุ่นทั่วประเทศคงกำลังเฝ้าคอยการผลิบานของซากุระอย่างใจจดใจจ่อ เพราะเมื่ออากาศอบอุ่นขึ้น ดอกไม้เล็กๆนี้จะค่อยๆบาน ซึ่งในญี่ปุ่น ดอกซากุระจะบานไล่ขึ้นจากเกาะทางใต้ ที่มีอากาศอบอุ่น ในเดือนมกราคม ไปสิ้นสุดที่เกาะฮอกไกโด ในเดือนพฤษภาคม เค้าเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า Sakura senzen ( cherry blossom front)

ซากุระเป็นสัญลักษณ์ของประเทศญี่ปุ่นและคนญี่ปุ่น ไม่ว่าภูมิภาคใดของโลกจะปลูกต้นเชอร์รี่ ให้ดอกสวยงามในเวลาเดียวกัน นักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนยังชื่นชอบที่จะไปชมซากุระบานในเทศกาลฮานามิ ที่จัดเป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูซากุระ มากว่าพันปีแล้วค่ะ

การผลิบานของซากุระ แสดงสัจธรรมทางพุทธศาสนา เตือนให้ระลึกถึงความไม่คงอยู่ถาวรของสรรพสิ่ง ( the awareness of impermanence) ดอกซากุระนั้นบอบบาง ราวกับชีวิตของมนุษย์ มันจะออกดอกเมื่ออากาศอบอุ่นเพียงพอ และผลิบานในช่วงเวลาสั้นๆ แค่สัปดาห์เดียว ก่อนจะร่วงโรยไป บางครั้งฝนหรือลมแรงก็ทำให้กลีบซากุระ ร่วงไปก่อนเวลาที่สมควรเช่นกัน เมื่อเรามองดอกซากุระ นอกจากชื่นชมในสีสันอ่อนหวาน ความงดงาม บอบบาง ควรหวนคิดด้วยว่า ชีวิตเราไม่ได้แตกต่างจากดอกไม้ชนิดนี้เลย รูปลักษณ์ ความสวยงาม ชื่อเสียงเกียรติยศ เงินทอง ความรักนั้น ผลิบานได้รวดเร็วถ้าเวลาที่เหมาะสมมาถึง แต่พอเบ่งบานถึงจุดหนึ่ง สิ่งเหล่านี้ช่างเปราะบางเกินกว่าจะรักษาไว้ และร่วงหล่นลงราวกลีบดอกซากุระในที่สุด

ปีนี้ไม่ทราบว่าดอกซากุระที่ญี่ปุ่นบานแล้วหรือยังนะคะ ถ้าผลิดอกแล้วคนญี่ปุ่นคงมองเห็นสัจธรรมผ่านโศกนาฏกกรมได้อย่างถ่องแท้ Buddy Bento เริ่มเรื่องมาแบบเหงาๆ แต่อาหารที่จะนำเสนอวันนี้ ไม่ทำให้เหงาเพราะเครื่องเคราเยอะแยะ แถมรสดีมากๆ เราจะทำข้าวหน้าไก่แบบญี่ปุ่น หรือ โอยาโกะดงบุริ ( 親子)กันค่ะ ส่วนผสมมีดังนี้ เนื้ออกไก่ หัวหอม ต้นหอม เห็ดเข็มทอง ( ไม่มีก็เห็ดอะไรก็ได้) ไข่ไก่ น้ำซุปไก่ โชยุ น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย ไวน์ขาว (ตามชอบ) วิธีทำแยกเป็นสองส่วนค่ะ ปรุงน้ำซุปก่อนด้วยโชยุ ไวน์ขาว น้ำตาลทราย รสต้องหวานนำเค็มนะคะ ตั้งไฟปานกลางแล้วเติมเนื้อไก่ หัวหอม เห็ดลงไป เคี่ยวจนส่วนผสมสุก ปิดท้ายด้วยไข่ เทราดบนข้าวร้อนๆ รับประทานเป็นอาหารกลางวัน หรือเย็นก็ได้ ถ้าบ้านใครมีสวน แนะนำให้ปูเสื่อนั่งรับประทานใต้ร่มไม้ จะได้รสชาติที่ดีขึ้นมากๆค่ะ

ขอให้อร่อยกับ โอยาโกะ ดงบุริ สูตรของตัวเองนะคะ ^^

วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

Slow down, smell flowers


เพิ่งเดินทางออกจาก แวนคูเวอร์ เมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของแคนาดา ที่เต็มไปด้วยสีสัน แต่ว่าไปแล้วความวุ่นวาย คลาคล่ำ ยุ่งเหยิง ผสมผสานของชีวิต แสงสี ผู้คนในแวนคูเวอร์ อาจไม่เท่าชีวิตในซานฟรานซิสโก ราตรีในนิวยอร์คซิตี้ หรือแม้แต่เมืองใหญ่ๆของเอเชีย อย่าง เซี่ยงไฮ้ กรุงเทพ โตเกียว ชีวิตในมหานคร ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Supercity หรือบางคนเรียกเก๋ๆว่า Megalopolis นั้นเค้าว่ากันว่ามันสุดแสนจะเอ็กซ์ตรีม สุดขั้ว เราจะพบเจอชีวิตได้ทุกรูปแบบในสังคมระดับเมกะ ซิตี้ จากคนจนสุดๆ ไม่มีบ้านอยู่ ไปจนรวยมหาศาลขนาดสร้างคอนโด คอมเพล็กซ์ ไว้หน้าชายหาด เอาไว้นอนเล่น แต่เชื่อมั้ยคะว่า ผู้คนเหล่านี้มีสิ่งที่ขัดสนร่วมกันอย่างหนึ่ง สิ่งนั้นคือ ขัดสนเวลา ( Time poverty) ความขัดสนทางเวลาเป็นอาการป่วยใหม่ของคนยุคเทคโนโลยี ที่ผลไม้ (ขอสงวนชื่อบริษัท) ครองเมือง โรคนี้พบบ่อยในกลุ่มผู้คนวัยทำงานค่ะ วัยที่มุ่งหน้าไขว่คว้าหาความสำเร็จ อาการเริ่มแรกจะมาด้วย ชอบบ่นกระแปดกระแปดว่า ไม่มีเวลา ถึงแม้จะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มีพาหนะที่ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนรุ่นปู่ย่าเรา ที่จะไปไหนแต่ละทีต้องเดินเท้า ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟฟ้า ต้องอุทิศเวลาทั้งวันเพื่อทำงานบ้าน ไม่มีเครื่องมือทุ่นแรง ที่ใช้นิ้วกดอย่างทุกวันนี้ แต่เราก็ยังบ่นว่า “ โอย..ไม่มีเวลา อยากให้หนึ่งวันมีมากกว่า 24 ชั่วโมง ” หลายๆคนที่รู้จัก เข้าเรียนแพทย์ตอนอายุ 16 จบแพทย์ตอนอายุไม่เบญจเพส เรียนเฉพาะทางอีกสองอย่าง พออายุย่างเข้าเลขสาม ทำอะไรมามากมายมาตลอดชีวิต ก็ยังบ่นว่า เรียนก็หมดเวลาแล้ว ไม่มีเวลาได้เริ่มทำอะไรที่อยากทำเลย จากนั้นทุกคนจะคิดไปในทางเดียวกันว่า เมื่อเวลาไม่พอ ก็ต้องเร่งสิ่งที่ทำอยู่ให้เร็วขึ้นอีก ต้องมียานพาหนะที่พาเราไปจุดหมายให้เร็วขึ้น หรือมีเครื่องมือที่ทำให้เราทำงานบ้านได้พร้อมๆกัน และเช่นกัน.. ถ้าอยากประสบความสำเร็จให้เร็ว ก็ต้องอัดวิชาเรียนให้จบในสามปีครึ่ง ต้องได้ PhD ก่อนสามสิบ เป็นศาสตราจารย์ก่อนอายุย่างเลขสี่ จะได้มีเวลาเหลือจากนั้น ทำอะไรที่อยากทำ ...กลายเป็นว่า ชีวิตที่เร่งให้เร็วขึ้นไม่ได้ทำให้เวลามีเหลือมากขึ้นนะคะ มันจะยิ่งไม่มีเวลาหรือเผลอๆก็ไม่เหลือเวลา สุดท้ายร่างกายซึ่งเป็นนาฬิกาธรรมชาติที่แน่นอนที่สุดก็ทนทานไม่ไหว การวัดความสุขในชีวิตที่ปริมาณของความสำเร็จ ชื่อเสียงและสิ่งของที่เราครอบครอง มากกว่าคุณภาพของชีวิต ที่เราใช้แลกเพื่อได้สิ่งเหล่านั้น มันอาจไม่คุ้มกันนะคะ ยิ่งเอาเวลามาเป็นอีกปัจจัย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ในเวลาที่จำกัดแล้ว ..ชีวิตคงไม่เหลือคุณภาพ

นั่งเครื่องบินไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จะมองเห็นทุ่งหญ้าสุดสายตา มีหิมะขาวๆเป็นหย่อมๆ เครื่องลงจอดปุ๊บ เราต้องหมุนเวลาไปข้างหน้าอีก 1 ชั่วโมง แต่วิถีชีวิตที่นี่ เรียกได้ว่า เดินช้ากว่ามหานครที่กล่าวมาข้างต้นพอสมควร คนที่นี่มีชีวิตช้าและเรียบง่ายกว่าขนาดของเมือง สัมภาระที่หอบหิ้วมาจากแวนคูเวอร์รอบนี้ ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากซอสเย็นตาโฟ ที่หาซื้อได้ยากเย็นเหลือเกิน พูดแบบนี้ก็คงทราบแล้วนะคะว่าวันนี้ Buddy Bento จะนำเสนอเมนูเย็นตาโฟ แต่มาคราวนี้ขอเป็น “ เกี๊ยวกรอบเย็นตาโฟ” ที่เป็นของโปรดตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เครื่องปรุงดังนี้ค่ะ แผ่นเกี๊ยว เนื้อหมูสับ น้ำซุปไก่ ผักบุ้ง ( ถ้าไม่มีใช้ผักชนิดอื่นนะคะ Buddy Bento ใช้บร็อคเคอรี่ ผักหาง่ายแทน) เนื้อปลา ลูกชิ้นปลา ปลาหมึก เต้าหู้ อันนี้เลือกกันตามชอบค่ะ ซอสเย็นตาโฟ กระเทียมเจียว เครื่องเยอะค่ะ แต่ทำไม่ยากนะคะ แม่ครัวเก่งๆบางคนก็ทำน้ำจิ้มเองด้วย ส่วน Buddy Bento ขอใช้ซอสเย็นตาโฟสำเร็จแทนนะคะ ง่ายดี

ท้ายที่สุดนี้ หวังว่าคงรับประทานอย่างอิ่มอร่อยนะคะ แหม..ขึ้นต้นเรื่องมาอย่างหนึ่ง จบท้ายด้วยเย็นตาโฟถ้วยนี้ได้ ต้องขอเสียงปรบมือให้กับความมั่วของตัวเองดังๆ นิดนึง ^^

Variety


ถ้ามองให้ดีๆแล้ว แคนาดาเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาติ ภาษาและวัฒนธรรม ไม่ได้ยิ่งหย่อนกว่าอเมริกาเลยนะคะ คุณลุงที่รู้จักเล่าให้ฟังว่า ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก หลั่งไหลมาตั้งถิ่นฐานในแคนาดา จนกระทั่งว่าถ้าเราไปนั่งเล่นในสวนสาธารณะฟังชาวบ้านเค้าคุยกัน เราจะได้ยินแทบทุกภาษาในโลกนี้ (ขนาดตัวคุณลุงเองยังมาจากเยอรมันนีตั้งแต่เป็นเด็ก) คุณลุงยังเล่าให้ฟัง ถึงความยากลำบากของเจเนอเรชั่นแรกๆ ที่อพยพมาที่นี่ว่า การพูดด้วยสำเนียงที่ผิดจากคนทั่วไป หรือพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ รวมทั้ง การแต่งกาย วิถีชีวิตที่แตกต่าง ทำให้ถูกดูถูกมากสมัยคุณลุงเด็กๆ แต่ไม่น่าเชื่อนะคะว่า30 ปีให้หลัง คนเหล่านี้ต่างถูกซึมซับเข้าสู่สังคมและวัฒนธรรมแคนาดาอย่างกลมกลืน ให้กำเนิดลูกหลานที่พูดภาษาอังกฤษที่ไม่มีสำเนียง สามารถเข้าเรียนมหาลัย ทำงานและประสบความสำเร็จได้

นอกจากการเปิดรับความแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติแล้ว แคนาดาก็ให้พื้นที่กับของติดตัวทางวัฒนธรรมอีกอย่างให้มาสร้างความหลากหลายอย่างสุดๆ คืออาหารค่ะ อาหารมีทุกชาติจริงๆ และด้วยความภูมิใจในประเทศไทยอย่างมาก ก็ต้องอวดนิดนึงว่าในบรรดาอาหารนานาชาตินี้ อาหารไทย เราอยู่ในอันดับท้อปมาตลอด ฝรั่งเค้าจะกรี๊ดกร๊าดอาหารไทยมาก ถ้ารู้ว่าใครมาจากเมืองไทย จะชอบถามว่า ทำอาหารไทยได้มั้ย ? ส่วนถ้าถามว่า อาหารไทยจานไหนที่คนที่นี่ชอบและถามถึงบ่อย .. ใครตอบว่าต้มยำกุ้ง ต้องบอกว่า ต้มยำกุ้งเสียมงกุฎให้ ผัดไทย ไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^ จริงๆแล้วผัดไทย ทำไม่ยากแต่ทำให้อร่อยนั้นต้องพยายามกันมากหน่อย เพราะเครื่องปรุง ส่วนผสมค่อนข้างมาก แถมขาดอะไรไป ก็ไม่อร่อย ไม่ใช่ผัดไทย

เกริ่นมายืดยาว วันนี้ Buddy Bento เอาเมนู "ผัดไทย" มาฝากนะคะ ส่วนผสมหลักๆ ก็มีตั้งแต่เส้นก๋วยเตี๋ยว ถั่วงอกสด กุยช่าย หัวไชเท้าหวาน ถั่วลิสงบด น้ำตาลปี๊บ น้ำพริกเผา น้ำมะขามเปียก มะนาว น้ำตาล เนื้อสัตว์ตามชอบ ไข่ เต้าหู้ แค่เครื่องปรุงก็ปวดหัวแล้วใช่มั้ยคะ คิดเหมือนกันว่า ทำไมดูที่ร้านทำมันง่ายดีจัง 555 เอาเครื่องปรุงมาผัด ใส่เนื้อสัตว์ ไข่ และชิมรสตามชอบนะคะ ส่วนเส้น ลวกให้นิ่มแล้วตามไปทีหลัง และถ้าจะให้อร่อย ต้องผัดแล้วเสิร์ฟร้อนๆ ทิ้งไว้ให้เย็นจะไม่อร่อยเลยค่ะ

ก่อนลากันไป เคยถามเพื่อนชาวแคนาดาว่า " อาหารประจำชาติยู คืออะไร ?" มันงงนิดหน่อย คิดอยู่นานมาก ก่อนจะตอบว่า "เมเปิ้ลไซรัป เพราะ...ใบเมเปิ้ลเป็นสัญลักษณ์ของประเทศแคนาดา" ตอบได้ น่ารักมากกก มั้ยล่ะ ^

Passion


สวัสดีค่ำๆ วันอาทิตย์นะคะ พรุ่งนี้ก็วันจันทร์แล้ว เพื่อนๆเคยลองหลับตานึกถึงตัวเองในที่นอนตอนเช้าวันจันทร์มั้ยคะว่า ความรู้สึกของเราเป็นแบบไหน อยากกระโดดจากที่นอนไปทำงานหรือนอนโอดครวญว่า ..วันจันทร์อีกแล้ว..

ฝรั่งเค้ามีคำๆ นึงนะคะ คือ Passion แปลว่า a strong feeling and emotion about things or persons บ้านเราอาจแปลว่า หลงใหล บ้างก็ว่า เป็นตัณหาราคะไปโน่น แต่อันที่จริงแล้ว passion คืออารมณ์ๆ หนึ่ง ที่หลงใหล สนใจ ในสิ่งใดอย่างรุนแรง และเมื่อมันเกิดกับงานของเรา มันเป็นเหมือนพลังงานผลักดันให้เราก้าวไปข้างหน้า ให้ฝัน ให้ต่อสู้ แลัวตามความฝันโดยไม่เหน็ดเหนื่อย ฝรั่งเค้าอินกับคำนี้มาก มีนักธุรกิจหรือหมอดังๆหลายคน ที่เปลี่ยนอาชีพ เพียงแค่วันนึง พวกเค้าได้จับอะไรบางอย่างแล้วรู้สึกว่า เค้าเจอ Passion for work บางคนก็ไปเย็บผ้า แล่นเรือ ท่องเที่ยว เจอได้เยอะนะคะในสังคมตะวันตก แต่สำหรับสังคมตะวันออกแล้ว ความรับรู้และเข้าใจตัวตนของเราถูกปิดกั้นด้วยมาตรฐานของการดำรงชีวิต และลักษณะของวัฒนธรรมอีกหลายอย่าง เพื่อนๆล่ะคะ เคยคิดมั้ยว่า.. เราได้ทำในสิ่งที่ชอบแล้ว หรือแค่..พยายามชอบ..ในสิ่งที่ทำ

พูดมายาว จริงๆแล้วจะเกริ่นนำเข้าเมนู มื้อค่ำสำหรับสาวๆ ที่มี Passion for beauty ฮ่าๆๆ ไม่เกี่ยวกับที่พูดมาเลย วันนี้ Buddy Bento เสนอ " จับฉ่าย วิตามินรวม ตามใจฉัน " ส่วนผสมคือ ผัก (ตามชอบ) เลือกผักกลุ่มวิตามินสูงและกากใยสูงมาให้นะคะ , เนื้อตามชอบอีก แต่เราใช้อกไก่ ไร้ไขมัน, ซีอิ๊วขาว-ดำ และผงพะโล้ สูตรนี้คิดเองนะคะ เพราะมันคือจับฉ่าย อยากใส่อะไร ก็ใส่ไป วิธีทำคือต้มค่ะ ต้มๆชิมๆ ปิดหม้อ ไปนอนซะ ตื่นมาก็ได้กิน ^^ ง่ายมากๆ แล้วไม่อ้วนด้วย

สุดท้ายนี้ ขอให้มีความสุขกับวันจันทร์นะคะ อย่าลืมหา Passion ของตัวเอง และควรอยู่บนหลักของความถูกต้องและศีลธรรม มาดมัวแซล Coco Chanel บอกไว้น่าฟังว่า Jump out the window if you are the object of passion. Flee it if you feel it. Passion goes, boredom remains !!