วันศุกร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554

Slow down, smell flowers


เพิ่งเดินทางออกจาก แวนคูเวอร์ เมืองใหญ่อันดับต้นๆ ของแคนาดา ที่เต็มไปด้วยสีสัน แต่ว่าไปแล้วความวุ่นวาย คลาคล่ำ ยุ่งเหยิง ผสมผสานของชีวิต แสงสี ผู้คนในแวนคูเวอร์ อาจไม่เท่าชีวิตในซานฟรานซิสโก ราตรีในนิวยอร์คซิตี้ หรือแม้แต่เมืองใหญ่ๆของเอเชีย อย่าง เซี่ยงไฮ้ กรุงเทพ โตเกียว ชีวิตในมหานคร ที่ฝรั่งเค้าเรียกว่า Supercity หรือบางคนเรียกเก๋ๆว่า Megalopolis นั้นเค้าว่ากันว่ามันสุดแสนจะเอ็กซ์ตรีม สุดขั้ว เราจะพบเจอชีวิตได้ทุกรูปแบบในสังคมระดับเมกะ ซิตี้ จากคนจนสุดๆ ไม่มีบ้านอยู่ ไปจนรวยมหาศาลขนาดสร้างคอนโด คอมเพล็กซ์ ไว้หน้าชายหาด เอาไว้นอนเล่น แต่เชื่อมั้ยคะว่า ผู้คนเหล่านี้มีสิ่งที่ขัดสนร่วมกันอย่างหนึ่ง สิ่งนั้นคือ ขัดสนเวลา ( Time poverty) ความขัดสนทางเวลาเป็นอาการป่วยใหม่ของคนยุคเทคโนโลยี ที่ผลไม้ (ขอสงวนชื่อบริษัท) ครองเมือง โรคนี้พบบ่อยในกลุ่มผู้คนวัยทำงานค่ะ วัยที่มุ่งหน้าไขว่คว้าหาความสำเร็จ อาการเริ่มแรกจะมาด้วย ชอบบ่นกระแปดกระแปดว่า ไม่มีเวลา ถึงแม้จะมีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย มีพาหนะที่ทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากขึ้น เมื่อเทียบกับคนรุ่นปู่ย่าเรา ที่จะไปไหนแต่ละทีต้องเดินเท้า ไม่มีรถยนต์ ไม่มีรถไฟฟ้า ต้องอุทิศเวลาทั้งวันเพื่อทำงานบ้าน ไม่มีเครื่องมือทุ่นแรง ที่ใช้นิ้วกดอย่างทุกวันนี้ แต่เราก็ยังบ่นว่า “ โอย..ไม่มีเวลา อยากให้หนึ่งวันมีมากกว่า 24 ชั่วโมง ” หลายๆคนที่รู้จัก เข้าเรียนแพทย์ตอนอายุ 16 จบแพทย์ตอนอายุไม่เบญจเพส เรียนเฉพาะทางอีกสองอย่าง พออายุย่างเข้าเลขสาม ทำอะไรมามากมายมาตลอดชีวิต ก็ยังบ่นว่า เรียนก็หมดเวลาแล้ว ไม่มีเวลาได้เริ่มทำอะไรที่อยากทำเลย จากนั้นทุกคนจะคิดไปในทางเดียวกันว่า เมื่อเวลาไม่พอ ก็ต้องเร่งสิ่งที่ทำอยู่ให้เร็วขึ้นอีก ต้องมียานพาหนะที่พาเราไปจุดหมายให้เร็วขึ้น หรือมีเครื่องมือที่ทำให้เราทำงานบ้านได้พร้อมๆกัน และเช่นกัน.. ถ้าอยากประสบความสำเร็จให้เร็ว ก็ต้องอัดวิชาเรียนให้จบในสามปีครึ่ง ต้องได้ PhD ก่อนสามสิบ เป็นศาสตราจารย์ก่อนอายุย่างเลขสี่ จะได้มีเวลาเหลือจากนั้น ทำอะไรที่อยากทำ ...กลายเป็นว่า ชีวิตที่เร่งให้เร็วขึ้นไม่ได้ทำให้เวลามีเหลือมากขึ้นนะคะ มันจะยิ่งไม่มีเวลาหรือเผลอๆก็ไม่เหลือเวลา สุดท้ายร่างกายซึ่งเป็นนาฬิกาธรรมชาติที่แน่นอนที่สุดก็ทนทานไม่ไหว การวัดความสุขในชีวิตที่ปริมาณของความสำเร็จ ชื่อเสียงและสิ่งของที่เราครอบครอง มากกว่าคุณภาพของชีวิต ที่เราใช้แลกเพื่อได้สิ่งเหล่านั้น มันอาจไม่คุ้มกันนะคะ ยิ่งเอาเวลามาเป็นอีกปัจจัย เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ ในเวลาที่จำกัดแล้ว ..ชีวิตคงไม่เหลือคุณภาพ

นั่งเครื่องบินไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงครึ่ง จะมองเห็นทุ่งหญ้าสุดสายตา มีหิมะขาวๆเป็นหย่อมๆ เครื่องลงจอดปุ๊บ เราต้องหมุนเวลาไปข้างหน้าอีก 1 ชั่วโมง แต่วิถีชีวิตที่นี่ เรียกได้ว่า เดินช้ากว่ามหานครที่กล่าวมาข้างต้นพอสมควร คนที่นี่มีชีวิตช้าและเรียบง่ายกว่าขนาดของเมือง สัมภาระที่หอบหิ้วมาจากแวนคูเวอร์รอบนี้ ไม่ใช่อะไรอื่น นอกจากซอสเย็นตาโฟ ที่หาซื้อได้ยากเย็นเหลือเกิน พูดแบบนี้ก็คงทราบแล้วนะคะว่าวันนี้ Buddy Bento จะนำเสนอเมนูเย็นตาโฟ แต่มาคราวนี้ขอเป็น “ เกี๊ยวกรอบเย็นตาโฟ” ที่เป็นของโปรดตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษา เครื่องปรุงดังนี้ค่ะ แผ่นเกี๊ยว เนื้อหมูสับ น้ำซุปไก่ ผักบุ้ง ( ถ้าไม่มีใช้ผักชนิดอื่นนะคะ Buddy Bento ใช้บร็อคเคอรี่ ผักหาง่ายแทน) เนื้อปลา ลูกชิ้นปลา ปลาหมึก เต้าหู้ อันนี้เลือกกันตามชอบค่ะ ซอสเย็นตาโฟ กระเทียมเจียว เครื่องเยอะค่ะ แต่ทำไม่ยากนะคะ แม่ครัวเก่งๆบางคนก็ทำน้ำจิ้มเองด้วย ส่วน Buddy Bento ขอใช้ซอสเย็นตาโฟสำเร็จแทนนะคะ ง่ายดี

ท้ายที่สุดนี้ หวังว่าคงรับประทานอย่างอิ่มอร่อยนะคะ แหม..ขึ้นต้นเรื่องมาอย่างหนึ่ง จบท้ายด้วยเย็นตาโฟถ้วยนี้ได้ ต้องขอเสียงปรบมือให้กับความมั่วของตัวเองดังๆ นิดนึง ^^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น